หน้าเว็บ

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของพริก

คนไทยกับรสแซบนะคู่กันคู่กัน โดยเฉพาะรสเผ้ดของพริกถ้าไม่จัดจ้านถึงใจไม่มีที่จะอร่อยเด็ด(ยกเว้นคนไม่กินเผ็ด) แต่รู้หรือไม่ว่านอกจากความเผ็ดแล้ว เจ้าพริกเม็ดเล็กๆ ยังอุดมด้วยประโยชน์มากมายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง!!! และในโอกาสที่เบอร์เกอร์ คิง เปิดตัวเบอร์เกอร์ คิง แองกรี้ วอปเปอร์ ที่นำพริกชี้ฟ้ามาเป็นส่วนสำคัญ พร้อมยังเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้เรื่องพริก

นาวาอากาศโทแพทย์หญิง อรวรรณ กิจเชวงกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแบบองค์รวมและความงาม เผยว่า คนไทยคุ้นเคยกับรสชาติเผ็ดร้อนของพริกมานานแล้ว ซึ่งพริกถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มรสชาติอาหารไทยให้จัดจ้าน และทำให้เจริญอาหาร นอกจากนี้ในพริกยังมีส่วนประกอบของสารแคปไซซินในปริมาณสูง สารตัวนี้มีฤทธิ์ในการลดความเจ็บปวด ช่วยระบบย่อยอาหารและพริกยังสามารถสร้างสารเคลือบกระเพาะทำให้กรดกัดกระเพาะได้น้อยกว่าคนที่ไม่กินพริก รสเผ็ดร้อนในพริกยังช่วยบำรุงธาตุไฟ เพิ่มการเผาผลาญ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย จะสังเกตได้ว่าเมื่อทานเข้าไปร่างกายจะอบอุ่นขึ้น และยังช่วยขับเหงื่อ บรรเทาอาการหวัด ลดน้ำมูก ช่วยให้หลอดลมขยายตัวและช่วยในระบบการไหลเวียนของเลือด

ประโยชน์ของพริก
"ปัจจุบันพริกไม่เพียงมีประโยชน์ทางด้านโภชนาการเท่านั้น แต่ในด้านการแพทย์ผิวหนังและด้านความสวยความงามยังสกัดสารแคปไซซินออกมาในรูปแบบของครีม เจลเพื่อใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง อาทิ ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด ฯลฯ และใช้ในการนวดสลายไขมัน ลดเซลลูไลท์ ทั้งนี้เชื่อว่าจะช่วยขยายเส้นเลือดบริเวณนั้น เมื่อใช้ร่วมกับตัวยาสลายไขมันอื่นๆ ด้วย

นอกจากนี้ในแพทย์แผนจีนยังใช้ประโยชน์จากพริกเพื่อบำรุงพลังหยาง ในช่วงที่ผู้ป่วยเป็นหวัดหรือโดนความเย็นมากระทบ โดยให้ทานอาหารรสเผ็ดร้อน อาทิ พริก พริกไทย จะช่วยบรรเทาอาการหวัด ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อจิตใจทำให้คึกคัก สดชื่น กระฉับกระเฉง เลือดลมสูบฉีด ร่างกายและจิตใจตื่นตัวมากขึ้น แต่สำหรับคนที่ธาตุไฟแกร่งควรทานพริกแต่น้อย เพราะอาจเกิดพลังหยางมากเกินไป ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นและเป็นแผลร้อนในปากได้” ผู้เชี่ยวชาญ ให้ความรู้

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

9 วิธี ลดความเครียดในการทำงาน

หากคุณรู้สึกว่างานในแต่ละวันช่างวุ่นวายเหลือเกิน ไหนจะมีประชุมตั้งแต่เช้า นั่งทำงานไม่ถึง 5 นาที ก็มีโทรศัพท์เข้ามาตลอดไม่ขาดสาย บ่ายก็ต้องรีบเดินทางออกไปพบลูกค้า ฝนก็ตก รถก็ติด อากาศก็ร้อนมาก ตกเย็นก็ต้องกลับมาทำรายงานส่งอีก เรามีวิธีลดความเครียดดังนี้

1. สูดกลิ่นหอม - รู้หรือเปล่าว่า กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์จะช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียดๆ ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ อย่างกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยตรงโต๊ะทำงานก็ไม่เลวนะ เชื่อสิว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเลยเชียว

2. หนังสือบำบัด - หาหนังสือเล่มโปรด ที่อ่านแล้วรู้สึกสบายใจ มาไว้ใกล้มือ เครียดเมื่อไหร่หยิบมาพลิกอ่านสักหน้าสองหน้าแก้เครียดดีนะ

วิธีลดความเครียดในการทำงาน
3. สร้างอารมณ์ขัน - หลังจากทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ลองชวนเพื่อนที่มีอารมณ์ขันคุยเบาๆ จะช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง คนที่หัวเราะง่ายมักมีสุขภาพกายและจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นการรักษาสมดุลของระบบประสาททางหนึ่งด้วย (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด)

4. พลังแห่งการสัมผัส - ถ้าคุณมีเพื่อนสนิทในที่ทำงานอาจสลับสับเปลี่ยนกันนวดบรรเทาอาการเครียด เพราะการสัมผัสเบาๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าจะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ชื่อ ออกซิโทชิน ช่วยลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ทำให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

5. หามุมสงบ-ฟังเพลง - ฟังเพลงเบาๆ โดยเฉพาะเพลงแนวสบายๆทั้งเสียงบรรเลงดนตรีและเสียงธรรมชาติ อย่างเสียงคลื่น น้ำตก นกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคืนสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์เชียวล่ะ

6. หลับตาผ่อนคลาย - การรักษาสมดุลแห่งความเครียด คือ การฝึกจิตง่ายๆ ครั้งละ 10 - 15 นาที เช้าและเย็น ด้วยการนั่งท่าสบายๆ อยู่ที่โต๊ะทำงานของคุณ หนุนศีรษะบนแขนที่วางไขว้กัน หลับตาและปล่อยตัวตามสบาย เพื่อผ่อนคลายง่ายๆและพักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์

7. รู้จัก “เลี่ยง” เมื่อถึงเวลา - เวลา ในชีวิตการทำงานมักมีหลายเรื่องที่เข้ามากระทบความรู้สึกจนเกิดอารมณ์ แต่แทนที่จะตอบโต้กลับทันทีอย่างขาดสติ จนอาจทำให้ปัญหาลุกลามใหญ่โต การเดินหนีไปก่อน รอให้อารมณ์เย็นลงหรืออยู่กับโต๊ะทำงานตัวเองเงียบๆ จัดข้าวของหรือหาอะไรที่ไม่ต้องใช้สมาธิสูงมากทำ ลดความเครียดลงได้จนกว่าคุณพร้อมที่จะกลับมาลุยงานอีกครั้ง

8. สร้างกำลังใจให้ตัวเอง - ความผิดพลาดบางอย่างที่แก้ไขไม่ได้ก็ใช้เป็นบทเรียน แต่จงอย่างให้ความผิดพลาดนั้นกลายเป็นสิ่งที่มากดดันให้คุณเครียดจนเกินไป

9. คิดในทางบวก - จำไว้ว่าการมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน คิดถึงประสบการณ์ดีๆ ที่ผ่านมาในชีวิตให้บ่อยขึ้น รวมถึงคิดถึงความปรารถนาดีของคนอื่นที่มีต่อคุณก็จะช่วยให้เป็นคนที่เครียดน้อยลงและมีความสุขมากขึ้นได้

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การดื่มน้ำเพื่อรักษาสุขภาพ

การดื่มน้ำเพื่อรักษาสุขภาพ - การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง
การดื่มน้ำเพื่อรักษาสุขภาพ การดื่มน้ำ เมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหารเพื่อรักษา สุขภาพ ที่ดีนั้น ทุกวันนี้เป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่น โดยชาวญี่ปุ่นนิยม ดื่มน้ำ ทันทีหลังจากตื่นนอนตอนเช้า(ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพ ที่ดี

มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำ สามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถ บำบัดรักษาโรค เหล่านี้ได้ผล 100% (แบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา) เช่น อาการปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้าหมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไตและยูริก โรคแสลงคลื่นไส้ต่าง ๆโรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตาโรคภายในสตรี โรคมะเร็ง อาการรอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก

การดื่มน้ำเพื่อรักษาสุขภาพ
วิธีการปฏิบัติขั้นต้นดังนี้
1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ ดื่มน้ำ 4 แก้ว ( 640 ซีซี )

2. หลังจากนั้นสามารถและล้างหน้าอาบน้ำได้ แต่ต้องไม่ดื่มหรือรับประทานอะไรจนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ

3. หลังรับประทาน อาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาทีไม่ควร ดื่มน้ำ หรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป

4. ผู้ป่วย หรือคนชรา ที่ไม่สามารถ ดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ให้ค่อย ๆ ดื่มค่อยเป็นค่อยไปเรื่อย ๆ จนได้ครบ 4 แก้ว
ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าวจะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่อย่าค่อยเป็นค่อยไป และหายขาดได้ในที่สุดทำให้ คุณภาพชีวิต ดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ทั้งสิ้นเพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น และหลัง ดื่มน้ำ ไปแล้วประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โรคกระเพาะอาหาร

โรคกระเพาะอาหาร หมายถึง โรคที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อกระเพาะอาหาร คนที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนมากมักจะเป็นเรื้อรัง หรือเป็นนานๆ ถ้าไม่รักษาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะมีอาการเป็นๆ หายๆ และถ้าปล่อยให้เป็นมาก จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
สาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะมีมากมาย แต่เชื่อกันว่าสาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากมีกรดในกระเพาะอาหารมาก และเยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง

โรคกระเพาะอาหาร
1. สาเหตุที่กระเพาะอาหารมีกรดมากขึ้น
- กระตุ้นของปลายประสาท เกิดจากความเครียด วิตกกังวลและอารมณ์

- การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง

- การดื่มกาแฟ

- การสูบบุหรี่

- การกินอาหารไม่เป็นเวลา

2. มีการทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร
- การกินยาแก้ปวด ลดไข้ แก้ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ยาชุดที่มีแอสไพริน และยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอนต่างๆ

- การกินอาหารเผ็ดจัด และเปรี้ยวจัดจากน้ำสมสายชู

- การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบี้ย ยาดอง

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โรคเครียด

ในชีวิตคนเรามักเต็มไปด้วยความเครียดจากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น จากความท้าทาย อุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้น และจากความกดดันที่ยากต่อการจัดการแก้ไข เมื่อเราเผชิญกับสิ่งเหล่านี้มากๆ เราก็จะเกิดความเครียดขึ้น โดยความเครียดแบ่งออกเป็นสองระยะ คือ

1. Acute Stress Disorder คือ โรคเครียดซึ่งเกิดภายในระยะเวลา 1 เดือนหลังเกิดเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ

2. Posttraumatic Stress Disorder คืออาการที่เกิดนานมากกว่า 1 เดือน คนไข้ความรู้สึกเหมือนตกอยู่ในเหตุการณ์ที่กระทบ กระเทือนจิตใจอยู่ตลอด พยายามหลีกเลี่ยงต่อสิ่งที่กระตุ้นให้ระลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว หลับยาก หงุดหงิด สมาธิไม่ดี ระวังระไวเกินปกติ สะดุ้งตกใจง่าย กระสับกระส่าย เป็นต้น หากอาการดังกล่าวเป็นมากจนมีความทุกข์ทรมาน และทำให้เกิดความบกพร่องในการงาน กิจกรรมด้านสังคม ก็ควรจะต้องมาขอรับคำปรึกษาและรักษาโดยจิตแพทย์ ตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีตที่พบว่าทำให้เกิดอาการของโรคนี้ ได้แก่ การก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในมหานครนิวยอร์ค การเกิดสึนามิในทะเลอันดามัน เป็นต้น ฉะนั้นความเครียดนี้เกิดได้จากทั้งมนุษย์ก่อขึ้นหรือจากภัยธรรมชาติ

โรคเครียด
ความเครียดในคนที่เป็นโรคเครียด จะแตกต่างจากความเครียดปกติที่เกิดในคนทั่วๆไป คือจะเกิดอาการทางร่างกายซึ่งรบกวนหน้าที่การทำงานในชีวิตประจำวัน อาการที่พบบ่อยๆได้แก่ อาการปวดศีรษะ ปวดคอ ปวดหลัง ปวดท้อง

อาการของโรคเครียด
อาการของความเครียดจะเกิดขึ้นในอวัยวะที่ถูกกำกับควบคุมโดยประสาทอัตโนมัติ ทำให้ประสาทอัตโนมัติเหล่านั้นทำงานมากขึ้นจนเกิดอาการต่างๆ เช่น

ในระบบทางเดินอาหาร กระเพาะอาหาร เกิดการหลั่งกรดมากผิดปกติ ทำให้กระอาหารเป็นแผล ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน ลำไส้ เกิดการหดตัวมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ถ่ายบ่อย

ในระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เต้นผิดจังหวะหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจตีบลง มีไขมันมาเกาะ ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบตัน เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง

ระบบกล้ามเนื้อ มีการหดตัว เกร็งแข็ง เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดคอ ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อต่างๆทั่วตัว

ประสาทอัตโนมัติเป็นระบบที่ทำงานโดยไม่สามารถบังคับหรือสั่งการได้ หล่อเลี้ยงอวัยวะภายในทั้งหมด ได้แก่ หัวใจ ปอด ตับ ลำไส้ หลอดเลือด

ประสาทอัตโนมัติมีความเกี่ยวข้องกับสมอง และไขสันหลังเป็นอย่างยิ่ง ความเครียดจะกระตุ้นอารมณ์ในสมอง ซึ่งจะกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติให้ทำงานผ่านแนวเชื่อมโยงกับไขสันหลัง การทำงานนั้นอยู่นอกการควบคุมของจิตใจ

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โรคไมเกรน (MIGRAINE)

โรคไมเกรน คือ โรคที่เกิดจากการบีบตัว และคลายตัว ของหลอดเลือดแดงในสมอง มากกว่าปรกติ ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว พร้อมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ในบางรายอาจมีอาการตาพร่ามัวหรือเห็นแสงระยิบระยับร่วมด้วย

ลักษณะสำคัญของอาการปวดไมเกรน
คืออาการปวดศีรษะที่มักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและปวดตื้อๆ ระดับความรุนแรงของการปวดมักเป็นระดับปานกลางจนถึงปวดอย่างรุนแรง ลักษณะเด่นของอาการปวดไมเกรนคือ มักจะปวดศีรษะเพียงข้างเดียว(ปวดทั้งสองข้างหรือปวดทั่วทั้งศีรษะก็มีแต่น้อย) อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อร่างกายมีการเคลื่อนไหว เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยโรคไมเกรนจะมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย

ปวดศีรษะข้างเดียว (ไมเกรน)
การปวดศีรษะข้างเดียวหรือปวดไมเกรนแต่ละครั้งจะกินเวลานานแตกต่างกันออกไปตั้งแต่ 30 นาทีจนถึง 12 ชั่วโมงและอาการปวดไมเกรนจะยิ่งปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกาย ผู้ป่วยอาจมีอาการนำก่อนที่จะปวดไมเกรนโดยเห็นแสงวูบวาบ ระยิบระยับ ตาพร่ามัวมองไม่เห็นชั่วขณะ รู้สึกว่าร่างกายข้างใดข้างหนึ่งชา อาการนำจะเป็นอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง

สาเหตุของการปวดไมเกรน
เกิดจากระบบประสาทของผู้ป่วยไมเกรนมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงจากภายในร่างกายและสิ่งแวดล้อมภายนอกมากกว่าปกติทำให้เส้นประสาทรอบๆ สมองเกิดการอักเสบ ผลกระทบที่ผู้ป่วยได้รับจากการปวดศีรษะข้างเดียว(Migraine)คือต้องทรมานจากการปวดศีรษะจนนอนไม่หลับหรือหลับก็ไม่เต็มตื่น ทำงานไม่ได้ ไปเรียนหนังสือก็ไม่รู้เรื่องจนเครียดถึงขั้นเสียสุขภาพจิต

ปัจจัยที่จะกระตุ้นให้ปวดไมเกรน
คือเรื่องอาหารการกิน การกินอาหารไม่ตรงเวลาและอาหารที่กินมีส่วนประกอบของผงชูรสหรือสารถนอมอาหารมากเกินไป การนอนหลับพักผ่อนไม่พอดี(นอนน้อยไปหรือนอนมากไป) การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายจะมีผลกระทบต่ออาการปวดไมเกรน นอกจากนี้ผู้ป่วยที่มีความเครียดและไม่สามารถหาทางผ่อนคลายได้จะทำให้การปวดไมเกรนถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเช่น แดดร้อน กลิ่นควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ กลิ่นน้ำหอมที่รุนแรง ล้วนเป็นปัจจัยที่จะกระตุ้นให้ปวดไมเกรนมากขึ้นได้

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทำงานอย่างไรไม่ให้เครียด

ทุกวันนี้การทำงานมีแต่เรื่องเครียดๆ แต่เราจะทำอย่างไรที่จะไม่เครียดกับการทำงานและสามารถสนุกไปกับมันได้

1. เตรียมพร้อมตั้งแต่ที่บ้าน
นอกจาก นอนหลับให้เต็มอิ่ม วิธีผ่อนคลายง่ายๆคือ ควรเลือก สวมชุดทำงานที่มีเนื้อผ้านุ่มสบาย ไม่รัดแน่น หรือพอดีตัวจนอึดอัด ยิ่งเป็นเนื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติจะยิ่งดี และควรรับประทานอาหารเช้า เพราะเป็นมื้อสำคัญที่ช่วยให้สมองทำงานได้ดี

2. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน
จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ ไม่ปล่อยให้โต๊ะรก เพราะเห็นแล้วจะยิ่งทำให้จิตใจเครียด ไม่แจ่มใส พานรู้สึกว่าสะสางอย่างไรก็คงไม่เสร็จเสียที นอกจากนี้ควร สร้างบรรยากาศด้วยภาพ เช่น การติดภาพธรรมชาติ หรือภาพคนที่รัก รวมถึงสีที่เห็นแล้วสบายตา เช่น สีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้า ซึ่งช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น หรือการวางผลไม้สดไว้บนโต๊ะทำงาน ก็สามารถช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นและลดความเครียดได้อีกวิธีคือ ปลูกต้นไม้ไว้ใกล้ที่ทำงาน เพราะการได้เห็นสีเขียวของต้นไม้ก็ช่วยคลายเครียดได้ดี

โรคเครียด
3. เตรียมกาย-ใจก่อนทำงาน
หลับตานิ่งๆ สัก 1 - 2 นาที และสลัดทิ้งภาพที่พบเจอมาตลอดเช้าไม่ว่าจะเป็นสภาพการจราจรที่แน่นขนัด ผู้คนแออัด หรือเหตุการณ์ไม่สบอารมณ์ใดๆ หากเป็นไปได้ควรดื่มน้ำผลไม้สักแก้วก่อนเริ่มงาน จะช่วยให้แจ่มใสขึ้น ควรจัดลำดับงานว่าชิ้นไหนควรทำก่อน-หลัง นอกจากช่วยบริหารเวลา นการทำงานได้ ยังช่วยให้ทำงานได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

4. การสร้างมุมมองที่ดีในการทำงาน
ต้องทำงานอย่างมีวินัย คิด และแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบโดยยึดหลักเหตุและผล ควรเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งที่มีโอกาสรู้ล่วงหน้าและไม่คาดคิดมาก่อน เรียนรู้ที่จะให้อภัยผู้อื่นรวมถึงตัวเอง เพราะไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์ เรียนรู้ที่จะปล่อยวางปัญหาเล็กๆ ที่ยิ่งเก็บมาคิดจะยิ่งเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ

5. วิธีรับมือกับความเครียด
ในกรณีที่แม้คุณจะพยายามทำตามทุกขั้นตอนข้างต้นมาแล้ว แต่ความเคร่งเครียดบางอย่างที่อาจควบคุมไม่ได้ยังคอยตามมากดดันตัวคุณอีก ลองใช้วิธีต่อไปนี้

หยุดสิ่งที่ทำ ให้เครียด แล้วเบี่ยงเบนความสนใจ ด้วยการฟังเพลง หรืออ่านหนังสืออ่านเล่น พักสั้นๆ ด้วยการลุกไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำล้างหน้าหรือออกไปยืดเส้นยืดสายเพื่อผ่อนคลาย จดบันทึกทุกครั้งที่เครียด เพื่อตรวจเช็คความถี่และพิจารณาว่าปัญหาใดที่ทำให้เราเครียดได้บ่อยที่สุด เมื่อรู้แล้วจะได้หลีกเลี่ยงถูก ควรหาตัวช่วยในการคิด อาจเป็นเพื่อนร่วมงานที่รู้จักเราดีหรือคนใกล้ชิดก็ได้ เนื่องจากการเล่าปัญหาจะช่วยให้เรายอมรับเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้น

6. หาวันหยุดให้กับตัวเองบ้าง
ถือเป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้ เพราะเป็นการชาร์จพลังที่ดีเพื่อจะกลับมาเริ่มงานใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น นอกจากนี้ควร ให้รางวัลกับชีวิตบ้าง เพราะการให้ของขวัญตัวเองจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความกระตือรือร้นในการทำ งานได้มากขึ้น

7. ทิ้งทุกเรื่องของงานไว้ที่โต๊ะ
และกลับบ้านด้วยใจที่โล่ง ไม่คั่งค้าง และควรระลึกไว้เสมอว่า "เมื่อไรที่จิตใจเครียด ร่างกายก็จะเครียดตาม" และทำให้ป่วยได้ง่ายขึ้น

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของเห็ดชนิดต่างๆ

ประโยชน์ของเห็ด
1. เห็ดหอม หรือ เห็ดชิตาเกะ เป็นยาอายุวัฒนะ เพราะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด อีกทั้งยังเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและมะเร็งด้วย และมีกรดอะมิโนถึง 21 ชนิด มีวิตามิน บี 1 บี 2สูงพอๆ กับยีสต์ มีวิตามินดีสูง ช่วยบำรุงกระดูกและมีปริมาณโซเดียมต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยบำรุงกำลัง บรรเทาอาการไข้หวัดชาวจีนยกให้้เห็ดหอมเป็็นอาหารต้้นตำรับ “อมตะ”

2. เห็ดหูหนู เป็นกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาวในผู้สูงอายุ ทำให้ภูมิต้านทานร่าง กายดี ขึ้น รว มทั้งช่วยรักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง เห็ดหูหนูขาวช่วยบำรุงปอดและไต

ประโยชน์ของเห็ดชนิดต่างๆ
3. เห็ดหลินจือ มีสารสำคัญ เช่น เบต้ากลูแคนซึ่งมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง คนญี่ปุ่นมักใช้ควบคู่กับการรักษาโรคมะเร็งและโรคผู้สูงอายุเช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคความดันโลหิตสูง

4. เห็ดกระดุม หรือ เห็ดแชมปิญองรูปร่างกลมมน คล้ายกระดุมที่มีขนาดใหญ่ ผิวเนื้อนวล มี ให้เลือกทั้งแบบสด หรือบรรจุกระป๋อง มีบทบาทในการรักษาและป้อง กันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่ สุดโดยสารบางอย่างในเห็ด นี้จะไปช่วยยับยั้งเอนไซม์อะโรมาเตส ทำให้เกิดการยับยั้งการเปลี่ยนฮอร์โมนเอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เมื่อร่างกาย ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย

5. เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้าและเห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดสามอย่างนี้อยู่ในตระกูลเดียวกัน เจ ริญเติบโตเป็นช่อ ๆคล้ายพัด เห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้ามีสีขาวอมน้ำตาล ขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำ และเนื้อเหนียวหนานุ่ม อร่อยคล้ายเนื้อสัตว์มากกว่า เชื่อว่าสามารถป้องกันโรคหวัดช่วยการไหลเวียนของเลือด และโรคกระเพาะ

6. เห็ดฟาง เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าว ชื้น ๆ โคน มี สีขาว ส่วนหมวกมีสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด ให้ วิตามินซีสูง และ มีกรดอะ มิโนสำคัญอยู่หลายชนิดหากรับประทาน เป็นประจำจะช่วยเสริม ภูมิคุ้มกันการ ติดเชื้อต่างๆ อีก ทั้งยังช่วยลดความดันโลหิตและเร่งการสมานแผล

7. เห็ดเข็มทอง เป็นเห็ดสีขาวหัวเล็ก ๆ ขึ้นติดกัน เป็นแพ รส ชาติเหนียวนุ่ม นำมารับประทานแบบสดๆ ใ ส่ กับสลัด ผักก็ ได้ ถ้าชอบสุกก็ นำ ไปย่าง ผัดหรือลวกแบบ สุกี้ ถ้ากินเป็นประจำ จะช่วยรักษาโรคตับโรคกระเพาะ และลำไส้อักเสบเรื้อรัง

8. เห็ดโคน ช่วยเจริญอาหาร บำรุงกำลัง แก้บิดแก้คลื่นไส้อาเจียน แก้ไอ ละลายเสมหะ การทดลองทางเภสัชศาสตร์พบว่า น้ำที่สกัดจากเห็ดโคนสามารถยับยั้งเชื้อโรคบางชนิด เช่นเชื้อไทฟอยด์

ประโยชน์ของเห็ดหอม

เห็ดหอม จัดเป็นเห็ดราคาแพงโดยเฉพาะเห็ดหอมแห้งจะมีหลายเกรดเลยทีเดียวค่ะ แต่วันนี้เราจะมาพูดถึง สรรพคุณของเห็ดหอม และ ประโยชน์ของเห็ดหอม ค่ะ เห็นหอมนั้นจะมีสองแบบคือ เห็ดหอมแห้ง กับ เห็ดหอมสด ค่ะ เห็ดหอมแห้งก็คือเห็ดหอมที่นำมาตากแห้งสามารถเก็บไว้ได้นานก่อนนำมารับประทานหรือปรุงอาหารต้องแช่น้ำก่อนจะเหมือนเห็นหอมสดเลยค่ะ ส่วนเห็ดหอมสดก็คือเห็ดหอมที่ไม่ผ่านการตากแห้งแต่สามารถนำมาปรุงอาหารโดยไม่ต้องแช่น้ำค่ะ แต่เอ๊...อย่าเข้าใจผิดว่าไม่ล้างน้ำนะค่ะ และเห็นหอมยังมีคุณค่าทางอาหารที่มากและยังมี สรรพคุณของเห็ดหอม และ ประโยชน์ของเห็ดหอม ที่จัดว่าเป็นสมุนไพรอีกด้วยนะค่ะ นั้นเรามาดู สรรพคุณของเห็ดหอม และ ประโยชน์ของเห็ดหอม

เห็ดหอม
สรรพคุณของเห็ดหอม
คนจีนใช้เห็ดหอมเป็นอายุวัฒนะรักษาหวัดทำให้เลือดลมดี แก้โรคหัวใจ ป้องกันการเติบโตของเนื้อร้าย ต้านพิษงู ป้องกันโรคเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคมะเร็ง โรคร้ายจากเชื้อไวรัส เห็ดหอมมีกรดอะมิโนชื่อ eritadenine ช่วยให้ไตย่อยโคเลสเตอรอลได้ดี มีสารเลนติแนน (Lentinan) ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเซลล์เนื้องอก

ประโยชน์ของเห็ดหอม
บำรุงสมอง เพิ่มความสดชื่น คึกคัก ลดคอเลสเตอรอล ช่วยในระบบย่อยอาหาร ป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งตัว ต้านมะเร็ง รักษาหอบหืด ลดความเครียด ต้านไวรัส บำรุงระบบประสาท ช่วยให้หลับง่าย บำรุงปอด บำรุงหลอดลม ชะลอความชรา ฯลฯ ควรบำรุงสุขภาพด้วยการนำเห็ดหอมมาปรุงอาหารทุก ๆ สัปดาห์เป็นประจำ โดยนำมาปรุงเป็นอาหารจานผัด ๆ ต้ม ๆ แต่ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากจนเกินไป

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คุณประโยชน์ของถั่วเหลือง

คุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
ถั่วเหลืองมีสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ตัวหนึ่งที่โดดเด่นและน่าสนใจคือ กลุ่ม ไอโซฟลาโวนส์ Isoflavones ตัวอย่างเช่น geistein ,daidzeinซึ่งทำหน้าที่คล้ายฮอร์โมน เอสโตรเจนในร่างกาย ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองจึงมีประโยชน์อย่างมากสำหรับ
คุณสุภาพสตรี โดยเฉพาะที่มีภาวะหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมการเสริมสร้างกระดูกของร่างกาย และยังช่วยรักษาความชุ่มชื้น ยืดหยุ่นของผิวหนัง การทานน้ำนมถั่วเหลือง หรือ เต้าหู้ก็เป็นอีกหนทางที่ดีที่จะช่วยคุณสุภาพสตรีลดหรือบรรเทาอาการข้างเคียงจากภาวะหมดประจำเดือน

คุณประโยชน์อื่นๆที่น่าสนใจยังมีอีกเพราะถั่วเหลืองไม่ได้มีคุณประโยชน์เพียงแค่ผู้หญิง แต่ผู้ชาย จนถึงเด็กๆต่างก็ได้รับประโยชน์จากถั่วเหลืองได้ดังข้อมูลที่จะกล่าวต่อไป:

ถั่วเหลือง
- มีการวิจัยพบว่า ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ช่วยลดและป้องกัน โรคมะเร็งเต้านม และ บรรเทาอาการ ข้างเคียงจาก ภาวะหมดประจำเดือน

- พบว่า ช่วยป้องกันและแก้ไข โรคหัวใจ เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่มีคอเรสเตอรอล มีไฟเบอร์สูง นอกจากนี้ยังมี โอเมกา 3 และวิตามิน อี

- พบว่าช่วยป้องกันและยับยั้งโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก แม้ว่ากลไกในการทำงานของมันเรายังไม่ทราบ แต่นักวิจัยพบว่า ผู้ชายที่รับประทาน
ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองยิ่งมากเท่าไร การเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากยิ่งพบน้อยลง

- ช่วยป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากถั่วเหลืองมีไฟเบอร์สูง ไฟเบอร์เหล่านี้จะช่วยทำความสะอาดระบบทางเดินอาหาร และจาก การวิจัยยังพบว่าผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ได้

- เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญสำหรับนักมังสวิรัต เพราะถั่วเหลืองมีสารอะมิโน เอซิด ที่จำเป็นต่อร่างกาย

- ใช้แทนน้ำนมวัว ในเด็กที่แพ้นมวัว และ แพ้แลคโตสในนม เราสามารถใช้น้ำนมถั่วเหลืองชดเชยได้

- ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะถั่วเหลืองมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบน้อย และยังไม่มีคอเลสเตอรอล
ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น น้ำเต้าหู้ เต้าหู้ประเภทต่างๆ

น้ำเต้าหู้ หรือนมถั่วเหลือง (soybean milk, soy milk, soya milk) ผลิตจากการนำถั่วเหลืองมาแช่ บด และต้มกับน้ำแล้วกรองเอาส่วนที่เป็นน้ำมาปรุงรสหวานเป็นเครื่องดื่ม มีการศึกษาถึงคุณประโยชน์ต่อสุขภาพของถั่วเหลืองเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ซึ่งอ้างถึงประโยชน์ในการลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ลดอาการวัยทอง และลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคกระดูกพรุน ซึ่งล้วนเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่สูงวัยขึ้น

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของฟักทอง

สรรพคุณทางยาเพื่อสุขภาพ
ฟักทองถือเป็นพืชในตระกูลมะระชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวผลขณะยังอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะแล้วจะมีสีเขียวสลับเหลือง ผิวไม่เรียบขรุขระเปลือกมีลักษณะแข็ง เนื้อในสีเหลืองมีเส้นใยอยู่ภายในเป็นสีเหลืองนิ่มพร้อมกับเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ประโยชน์ของฟักทองนั้นมีมากมายสามารถนำมาใช้กินบำรุงร่างกายและรักษาโรคได้ดี

สรรพคุณทางยาของฟักทอง
- เมล็ดสามารถขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ และบำรุงร่างกายได้ดี
- ราก บำรุงร่างกาย แก้ไอ ถ่อนพิษของฝิ่นได้
- น้ำมันจากเมล็ดบำรุงประสาทได้ดี
- เยื่อกลางผลสามารถนำมาพอกแก้อาการฟกช้ำ ปวด อักเสบ

ประโยชน์ฟักทอง
ประโยชน์ของฟักทองทางโภชนาการ
- เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูงมาก มีฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง สารสีเหลืองและโปรตีน
- ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ
- ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย
- เมล็ด มีน้ำมัน แป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน

เกล็ดเล็กเกล็ดน้อยประโยชน์ของเมล็ดฟักทอง ในเมล็ดฟักทองมีสารชื่อ คิวเคอร์บิติน (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี วิธีใช้ให้เตรียมเมล็ดฟักทองประมาณ 60 กรัม ทุบให้แตกละเอียดนำมาผสมกับน้ำตาล นม และน้ำเติมลงไปจนได้ประมาณ 500 มิลลิลิตร แบ่งรับประทาน 3 ครั้ง ห่างกันทุก 2 ชั่วโมงจะฆ่าพยาธิตัวตืดได้ หลังจากนั้นให้ยาแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ควรรับประทานยาระบายน้ำมันละหุ่ง 2 ช้อนโต๊ะช่วยในการขับถ่าย

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ล้างสารพิษด้วยส้มโอ

ทราบหรือไม่ว่า ส้มโอสามารถช่วยล้างสารพิษในร่างกายได้ด้วย การล้างสารพิษด้วยส้มโอนั้นเป็นวิธีตามธรรมชาติที่ใคร ๆ อาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกันสักเท่าไร วันนี้เราจึงมาพูดถึงเรื่องการล้างสารพิษด้วยส้มโอกัน เพราะร่างกายเราต้องเจอกับสารพิษเป็นประจำไม่ว่าจะกินหมู กินผัก ก็ต้องเจอกับสารพิษ เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าส้มโอสามารถล้างสารพิษได้อย่างไร

ส้มโอ
ส้มโอเป็นผลไม้ในตระกูลเดียวกันกับพวกส้ม ส้มโอมีวิตามินและเกลือแร่มากมายเช่น วิตามินซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม กรดอินทรีย์ โมโนเทอร์ปีน และในส้มโอมีสารที่ช่วยต้านมะเร็งได้ด้วย

ส้มโอ
ประโยชน์ของส้มโอ : สรรพคุณของส้มโอ

ล้างสารพิษด้วยส้มโอ
วิธีทำ ให้ทานส้มโอแทนข้าวเย็นประมาณ 7 วัน ขอเน้นว่าทานแทนข้าวเย็นนะ ส้มโอจะช่วยล้างสารพิษในร่างกายได้

ส้มโอสามารถช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นหน้าอก
วิธีทำ ให้ทานส้มโอจิ้มกับยาหอม อาจจะทานยากนิดนึ่งแต่การทานส้มโอแบบนี้จะช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นหน้าอกได้

เปลือกส้มโอแก้โรคผิวหนัง
คุณเคยเป็นโรคผิวหนังใหม โรคผิวหนังแก้ไม่ยาก แค่เอาเปลือกส้มโอหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มกันน้ำจนมันงวด แล้วเอาน้ำที่ได้มาทาตรงที่เป็นโรคผิวหนัง แค่นี้อาการก็จะดีขึ้น แต่ถ้าเพื่อนๆ รู้สึกว่าหายช้าไปก็ต้มน้ำกับเปลือกส้มโอกินด้วยก็ได้

- ประโยชน์ของผักผลไม้มีมากมาย

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โรคต้อหิน

ต้อหินคือโรคของเส้นประสาทตาเสื่อม ทำให้ตามัวลงอย่างช้าๆ และเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้มองเห็นชัดเจนเหมือนเดิม โรคต้อหิน เกิดจากความดันของน้ำภายในลูกตาสูงกว่าปกติ ความดันตาที่สูงขึ้นมีผลทำลายจอประสาทตาอย่างช้าๆ และหากปล่อยเอาไว้จะทำให้ตาบอดในที่สุด

โรคต้อหินแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ต้อหินมุมเปิด พบถึง 0.5-1% ของผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และพบมากขึ้นตามอายุในคนผิวดำพบต้อหินมุมเปิดมากกว่าคนผิวขาว เพศชายและเพศหญิงมีโอกาสเป็นพอๆ กัน ผู้ที่มีโอกาสเกิดโรคสูงได้แก่ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคต้อหิน คนสายตาสั้น เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นไทรอยด์ และไมเกรน มักพบโดยการตรวจตาจากสาเหตุอื่น แต่เมื่อรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการมองเห็น แสดงว่าเป็นต้อหินมากแล้ว

2. ต้อหินมุมปิด พบได้บ่อยพอๆ กับต้อหินมุมเปิด มักพบในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป และจะพบมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น เพศหญิงจะเป็นต้อหินมุมปิดมากกว่าเพศชาย และในคนผิวขาวมากกว่าผิวดำ มักพบในคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหินชนิดนี้ คนสายตายาวซึ่งมีมุมตาแคบจึงส่งผลทำให้มุมตาปิดได้ง่าย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการตอนใกล้ค่ำ หรือใกล้รุ่งซึ่งม่านตาขยาย ทำให้มุมตาที่แคบเกิดปิด มีผลให้การระบายน้ำภายในลูกตายากลำบาก ความดันตาสูงขึ้นเฉียบพลัน เกิดอาการตาแดง ปวดตา และปวดศีรษะอย่างรุนแรง บางรายมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ผู้ป่วยมักจะตามัวลงอย่างมาก และมองเห็นรุ้งรอบดวงไฟ ต้อหินชนิดนี้สามารถทำให้ตาบอดได้ในระยะเวลาอันสั้น ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที การรักษาจะเน้นที่การลดความดันตาที่สูงขึ้นกว่าปกติ

โรคต้อหิน
ต้อหินเกิดได้จากหลายๆ สาเหตุ
1. การใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ติดต่อกันนานๆ จะทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้นและเกิดเป็นต้อหินได้
2. อุบัติเหตุต่อตา เช่น ตีแบดมินตันหรือเทนนิส แล้วถูกลูกแบดมินตันหรือลูกเทนนิสกระแทกใส่ตา ทำให้เกิดแผลภายในลูกตา ทำให้น้ำภายในลูกตาระบายออกไม่ได้ ก่อให้เกิดความดันสูงขึ้นและเกิดต้อหินได้
3. ม่านตาอักเสบ ช่วงที่มีการอักเสบ จะมีปฏิกิริยาภายในน้ำหน้าเลนส์ตา ส่งผลให้โปรตีนหรือเม็ดเลือดขาวลอยไปอุดรูระบายของน้ำภายในลูกตา ทำให้ความดันตาสูงขึ้นได้
4. สาเหตุอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ที่ไม่เคยได้รับการตรวจจอประสาทตาจากจักษุแพทย์ จนกระทั่งเกิดเบาหวานขึ้นจอตา

การป้องกันและสังเกตตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงต้อหิน
ระยะแรกๆ ต้อหินจะไม่มีอาการใดๆเลย บางรายอาจมีอาการปวดตาบางครั้ง ซึ่งมีสาเหตุหลายอย่าง เช่น ใช้คอมพิวเตอร์นานๆ และส่วนใหญ่แพทย์มักวินิจฉัยต้อหินเมื่อมีอาการมากแล้ว

ดังนั้น ใครก็ตามที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปจำเป็นต้องไปตรวจตากับจักษุแพทย์ประมาณปีละ 1 ครั้งสำหรับคนที่เป็นต้อหินระยะแรกอาจจะมีอาการปวดตาข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ หรือมองเห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การเล่นโยคะ

การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่จำเป็นแต่เราไม่ค่อยได้สนใจดูแลสุขภาพกันเท่าใดนัก โดยมากมักอ้างเหตุผลง่ายว่าไม่มีเวลา …. จึงเป็นที่น่าเสียใจยิ่งนักเพราะร่างกายเราก็เหมือนเครื่องจักร เหมือนรถยนต์ หากเราใช้งานไปทุกๆวันไม่บำรุงดูแลรักษา สักวันร่างกายเราก็ทรุดโทรม … เกิดการเจ็บป่วย และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาอีกมากมาย

ดังนั้นเราจึงขอแนะนำโยคะร้อนเพื่อสุขภาพ โดยการเล่นโยคะ นั้นไม่ยากอย่างที่คิด บางครั้งก็สามารถฝึนเอง และเรียนโยคะ ได้ด้วยตัวเอง ตามคลิปโยคะ โดยทำตามท่าฝึกโยคะ หรือจะแวะไปฟิตเนตใกล้บ้านท่านก็ได้ หากสะดวก

การฝึกโยคะ
การฝึกโยคะนี้ได้มีมานานหลายพันปีแล้วในสมัยโบราณนั้นมนุษย์ได้ค้นคว้าเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับความเข้าใจในความ เป็นอยู่ของตนเอง อดีตมีการจารึกถ้อยคำด้วยตัวอักษรความรู้ที่สำคัญๆทั้งหมดถูกส่งผ่านคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งในรูปแบบของนิทาน ด้วยวิธีการเช่นนี้ ความรู้ต่างๆจึงได้สะสมขึ้นและวัฒนธรรมต่างๆได้พัฒนาขึ้นมา และนี่คือวิธีการที่การฝึกโยคะได้ถ่ายทอดมาถึงปัจจุบันในหุบเขาแห่ง อินดัส วอลเลย์ นักโบราณคดีได้ค้นพบไม้แกะสลักและศิลปะรูปปั้นที่แสดงถึงการฝึกโยคะ ศิลปะเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยประชาคมที่มีความเจริญเป็นอย่างสูง ซึ่งเจริญอยู่ในพื้นที่แถบนั้นช่วง 2000และ1000 ปีก่อนคริสศักราช (ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถาน)

นักปราชญ์ชาวฮินดูคนหนึ่งชื่อว่า พาตานจาลี เป็นคนแรกที่ปรับปรุงการฝึกโยคะขั้นพื้นฐาน เขาเขียนสูตรของการฝึกโยคะเป็นหัวข้อ 8 หัวข้อสั้นๆ หัวข้อเหล่านี้เชื่อว่าได้ถูกเขียนขึ้นเมื่อ 200 ปีก่อนคริสศักราช หัวข้อเหล่านี้อ่านแล้วเข้าใจง่าย

ปัจจุบันนี้ โยคะเป็นที่นิยมกันมากในหมู่ชาวตะวันตก ตามเมืองใหญ่ๆ ส่วนมากจะมีการเรียนการสอนวิชาโยคะ เพราะโยคะเป็นการฝึกที่อ่อนโยน ปลอดภัยและผ่อนคลายความกดดันในชีวิตประจำวัน จนถือได้ว่าโยคะเป็นความบันเทิงที่น่าพอใจของคนยุคใหม่

การเตรียมตัวฝึกโยคะ
ห้องที่เหมาะสมในการฝึกโยคะนั้นควรจะเป็นห้องที่มีแสงสว่างและมีลม บรรยากาศสดชื่น ไม่มีฝุ่นละออง ควรจะมีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นที่สุด พื้นควรจะเรียบและสม่ำเสมอ ควรทำพื้นที่ผนังส่วนหนึ่งให้เรียบเพราะมีบางท่าที่ต้องใช้ผนังสำหรับช่วยค้ำจุนท่าฝึกไว้ ห้องนั้นไม่ควร ร้อนหรือเย็นเกินไป ถ้ามีพัดลมหรือเครื่องทำความร้อน ให้วางของสิ่งนั้นให้อยู่ไกลๆที่ฝึก

ห้องฝึกโยคะที่ดีควรจะเงียบสงบ ถ้าเป็นไปได้อย่าให้ถูกรบกวนในระหว่างการฝึกโยคะ

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีช่วยลดอาการปวดหลัง

หากเราได้พิจารณาถึงสาเหตุของอาการปวดหลังเป็นอย่างดีแล้ว พบว่ามันเกิดจากการทำงานผิดท่าทาง หรือเกิดจากการไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง โดยปล่อยให้มีอาการปวดหลังเรื้อรังเป็นเวลานาน การที่จะหายจากอาการปวดหลังอย่างสิ้นเชิงนั้นมักเป็นไปได้ยาก อาจต้องใช้ระยะเวลานานมากๆ ในการรักษาให้หายขาด คุณเท่านั้นที่จะรู้! ว่าเมื่อไหร่ ถึงจะหายปวดหลัง

ใครที่มีอาการปวดหลังอยู่เป็นประจำ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีแก้อาการปวดหลังมาฝากกัน

การฝึกพิลาทิส
1. ฝึกพิลาทิส เป็นการออกกำลังกายที่เน้นไปที่การสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และลำตัว ท่าที่ใช้ในการลดอาการปวดหลังคือ ท่ายกเชิงกราน ท่าหนีบหมอน และท่าหมุนข้อเท้า เคล็ดลับคือ เมื่อหายใจเข้าต้องเอาอากาศ เข้าไปเต็มปอด ซึ่งจะรู้สึกว่าสะดือถูกยกขึ้น และค่อยๆ หายใจออกทางปาก และกดสะดือ ลง

2. ว่ายน้ำ การว่ายน้ำจะช่วยลดอาการของโรคปวดหลังได้มากเพราะ ไม่สร้างแรงกดแรงกระแทก แต่ควรงดการทำ ท่ากบ เพราะต้องแอ่นหลังมาก

3. ปรับเปลี่ยนท่านอน ห้ามนอนคว่ำ นอนหงาย เพราะจะทำให้ กระดูกสันหลังแอ่น หากนอนหงายควรใช้หมอน ข้างใบใหญ่หนุนโคนขาจะทำให้สะโพกและเข่างอเล็กน้อย ซึ่งช่วยให้กระดูกสันหลังหายแอ่นและแบนติดที่นอน การนอนตะแคงเป็นท่าที่ดีที่สุด แต่ต้องระวังเพราะอาจทำให้กระดูก สันหลังแอ่นก็ได้ แบนก็ได้ ฉะนั้นควรนอนโดยให้ขาล่างเหยียดตรง ขาบนงอ สะโพกและเข่ากอดหมอนข้างไว้ ทำให้หลังโก่งเล็กน้อย

4. การหยิบจับของ ไม่ก้มตัวลงหยิบของในลักษณะเข่าเหยียดตรง การยกของหนัก ใช้วิธีเดียวกับการหยิบของ เมื่อย่อตัวแล้ว ให้ยกของหนักมาชิดตัว แล้วลุกขึ้นยืนด้วยกำลังขา ขณะที่อุ้มของหนักให้ของชิดตัวตลอดเวลา เมื่อจะวางของ ลงให้ทำเช่นเดียวกับตอนยกขึ้น

5. พยายามรักษาสมดุลของร่างกาย ทั้งในระหว่างการเดิน การนั่ง การยืน หรือแม้แต่การนอน อยู่เสมอ

6. เลือกรองเท้าที่สวมสบาย และรองรับน้ำหนักร่างกายได้ดี หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานานๆ

7. หลีกเลี่ยงภาวะอารมณ์ที่เคร่งเครีย ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการกล้ามเนื้อตึงตัวและปวดเมื่อย

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อาการต่างๆที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา

อาการปวดหลัง
อาจเกิดจากอิริยาบถที่ไม่ถูกต้อง เช่น นอนคว่ำ นั่งท่าเดียวนานๆ หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงเพราะขาดการออกกำลังกายรวมทั้งน้ำหนักตัวมากขึ้นเพราะความอ้วนหรือการตั้งครรภ์

การนั่ง ยืน นอนให้ถูกต้องจะช่วยป้องกันอาการปวดหลังได้มาก หากต้องทำงานในอิริยาบถเดิมๆ ทั้งวัน ให้หมั่นเคลื่อนไหวร่างกายทุกๆ 30 นาที
หากอาการปวดหลังของคุณเกิดจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไปก็ต้องเพิ่มการออกกำลังกายให้มากขึ้น หรือเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังด้วยการซิทอัพวันละประมาณ 15 นาที แต่ถ้าคุณมีอาการปวดหลังร่วมกับการชาตามแขนขา ให้รีบพบแพทย์

โรคปวดหลัง
อาการนอนไม่หลับ
การนอนไม่หลับอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ ความเครียด การดื่มกาแฟ และแอลกอฮอล์มากเกินไป การรับประทานอาหารรสจัด การออกกำลังก่อนเข้านอน หากมีอาการนอนไม่หลับ ให้นวดบริเวณที่ต้นคอเรื่อยไปจนถึงปลายแขนทั้งสองข้างเพื่อให้เกิดการผ่อนคลาย แช่น้ำอุ่น หรือดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ ก่อนนอน แต่ถ้าคุณนอนไม่เต็มอิ่มจากปัญหาเรื่องสุขภาพ ให้งีบหลับตอนกลางวันประมาณครึ่งชั่วโมง (หากนานกว่านั้นอาจนอนไม่หลับในตอนกลางคืน)

แต่ถ้าอาการนอนไม่หลับของคุณเกิดขึ้นเป็นเวลานานร่วมกับอาการกระสับกระส่าย หัวใจเต้นแรง หรือไปปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยๆ ให้รีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของไทรอยด์ผิดปกติ เบาหวาน ฯลฯ

น้ำหนักเพิ่ม
น้ำหนักเพิ่ม หรือลดผิดปกติ
การลดน้ำหนักที่ดีไม่ควรเกินกว่า 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ หากมีการลดมากกว่านั้นในระยะเวลา 6 เดือน ควรต้องระวังเป็นพิเศษ

การมีน้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่องอาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ลำไส้อักเสบ หรือโรคมะเร็ง

ส่วนการมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้พิจารณาว่ามาจากความอ้วน หรือไม่ ถ้าใช่ ให้ควบคุมเรื่องอาหาร และการออกกำลังกาย แต่น้ำหนักเพิ่มขึ้นร่วมกับอาการบวมน้ำ คือตัวบวม หายใจหอบถี่ ต้องลุกไปปัสสาวะบ่อยๆ ตอนกลางคืน อาจต้องรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคหัวใจ ไตวาย ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ