หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

7 ขั้นตอนทำงานไม่เครียด

พอพูดถึงเรื่องทำงาน ก็ต้องบวกเรื่องความเครียดเข้าไปด้วย ทุกวันนี้ งานมีแต่เรื่องเครียดๆ แต่จะทำอย่างไรที่เราจะไม่เครียดกับการทำงาน

1. เตรียมพร้อมตั้งแต่ที่บ้าน
นอกจาก นอนหลับให้เต็มอิ่ม วิธีผ่อนคลายง่ายๆคือ ควรเลือก สวมชุดทำงานที่มีเนื้อผ้านุ่มสบาย ไม่รัดแน่น หรือพอดีตัวจนอึดอัด ยิ่งเป็นเนื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติจะยิ่งดี และควรรับประทานอาหารเช้า เพราะเป็นมื้อสำคัญที่ช่วยให้สมองทำงานได้ดี

2. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน
จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ ไม่ปล่อยให้โต๊ะรก เพราะเห็นแล้วจะยิ่งทำให้จิตใจเครียด ไม่แจ่มใส พานรู้สึกว่าสะสางอย่างไรก็คงไม่เสร็จเสียที นอกจากนี้ควร สร้างบรรยากาศด้วยภาพ เช่น การติดภาพธรรมชาติ หรือภาพคนที่รัก รวมถึงสีที่เห็นแล้วสบายตา เช่น สีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้า ซึ่งช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น หรือการวางผลไม้สดไว้บนโต๊ะทำงาน ก็สามารถช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นและลดความเครียดได้อีกวิธีคือ ปลูกต้นไม้ไว้ใกล้ที่ทำงาน เพราะการได้เห็นสีเขียวของต้นไม้ก็ช่วยคลายเครียดได้ดี

วิธีการทำงานไม่ให้เครียด
3. เตรียมกาย-ใจก่อนทำงาน เริ่มจาก
หลับตานิ่งๆ สัก 1 - 2 นาที และสลัดทิ้งภาพที่พบเจอมาตลอดเช้าไม่ว่าจะเป็นสภาพการจราจรที่แน่นขนัด ผู้คนแออัด หรือเหตุการณ์ไม่สบอารมณ์ใดๆ หากเป็นไปได้ควรดื่มน้ำผลไม้สักแก้วก่อนเริ่มงาน จะช่วยให้แจ่มใสขึ้น จัดลำดับงานว่าชิ้นไหนควรทำก่อน-หลัง นอกจากช่วยบริหารเวลา นการทำงานได้ ยังช่วยให้ทำงานได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

4. การสร้างมุมมองที่ดีในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น ต้องทำงานอย่างมีวินัย คิด และแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบโดยยึดหลักเหตุและผล เปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งที่มีโอกาสรู้ล่วงหน้าและไม่คาดคิดมาก่อนเรียนรู้ที่จะให้อภัยผู้อื่นรวมถึงตัวเอง เพราะไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์ เรียนรู้ที่จะปล่อยวางปัญหาเล็กๆ ที่ยิ่งเก็บมาคิดจะยิ่งเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ

5. วิธีรับมือกับความเครียด
ในกรณีที่แม้คุณจะพยายามทำตามทุกขั้นตอนข้างต้นมาแล้ว แต่ความเคร่งเครียดบางอย่างที่อาจควบคุมไม่ได้ยังคอยตามมากดดันตัวคุณอีก ลองใช้วิธีต่อไปนี้ หยุดสิ่งที่ทำ ให้เครียด แล้วเบี่ยงเบนความสนใจ ด้วยการฟังเพลง หรืออ่านหนังสืออ่านเล่น พักสั้นๆ ด้วยการลุกไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำล้างหน้าหรือออกไปยืดเส้นยืดสายเพื่อผ่อนคลาย จดบันทึกทุกครั้งที่เครียด เพื่อตรวจเช็คความถี่และพิจารณาว่าปัญหาใดที่ทำให้เราเครียดได้บ่อยที่สุด เมื่อรู้แล้วจะได้หลีกเลี่ยงถูก หาตัวช่วยในการคิด อาจเป็นเพื่อนร่วมงานที่รู้จักเราดีหรือคนใกล้ชิดก็ได้ เนื่องจากการเล่าปัญหาจะช่วยให้เรายอมรับเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้น

6. หาวันหยุดให้กับตัวเองบ้าง
ถือเป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้ เพราะเป็นการชาร์จพลังที่ดีเพื่อจะกลับมาเริ่มงานใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น นอกจากนี้ควร ให้รางวัลกับชีวิตบ้าง เพราะการให้ของขวัญตัวเองจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความกระตือรือร้นในการทำ งานได้มากขึ้น

7. ทิ้งทุกเรื่องของงานไว้ที่โต๊ะ
และกลับบ้านด้วยใจที่โล่ง ไม่คั่งค้าง และควรระลึกไว้เสมอว่า "เมื่อไรที่จิตใจเครียด ร่างกายก็จะเครียดตาม" และทำให้ป่วยได้ง่ายขึ้น

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กินอย่างไรให้ปลอดภัย

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่ประกอบด้วยแป้งสาลี 60-70% ไขมันในเครื่องปรุง 15-20% ที่เหลือเป็นเกลือ และผงชูรส ถ้าเรารับประทาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มากกว่า 1 ซองหรือ 1 ถ้วยต่อวัน เราก็จะได้โซเดียม (ก็เกลือนั้นแหละ) เกินความต้องการของร่างกายต่อวัน ไปถึง 50-100 % ซึ่งจะทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง ประกอบกับส่วนประกอบหลักเป็นแป้ง ถ้าคุณทานแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ร่างกายก็จะได้รับแต่แป้ง ๆ ๆ สุดท้ายก็อ้วนนะสิ (ข้อมูลจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล)

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
เอาข้อมูลมาจาระไนให้ฟังกันขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าจะมาชวนก่อม๊อบรณรงค์ ให้เลิกกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ประเด็นอยู่ตรงที่ไหน ๆ ก็หนีไม่พ้น ก็หันมาใส่ใจ เลือกซื้อให้คุ้มค่าที่สุด ก่อนซื้ออ่านฉลากสักนิด ว่าเติมสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ รึเปล่า แต่ถ้าจะให้ดีควรเติมไข่ หรือเนื้อสัตว์ และผักทุกครั้งที่ทาน

วิธีปรุงก็สำคัญไม่แพ้กัน หลาย ๆ คนยอมที่จะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน ด้วยความที่จะได้เส้นที่เหนียวนุ่มน่ากินกว่า แต่ชอบที่จะใช้น้ำในการต้มน้อย ๆ (รสชาติจะได้เข้มข้น) ใส่เครื่องปรุงลงไปตั้งแต่ตอนต้มด้วย เครื่องปรุงจะได้เข้าเนื้อ (ว่าไปนั่น) แต่หารู้ไม่ว่า การต้มแบบนั้นเป็นวิธีการที่ผิดมหันต์ คุณจะได้รับโซเดียม ไปเต็ม ๆ ซึ่งขอเสียได้บอกไปแล้วตั้นแต่ตอนต้น และผงเครื่องปรุง ที่ใส่ลงไปเมื่อโดนความร้อนสูง จะแปรสภาพเป็นสารพิษ ซึ่งส่งผลเสีย ต่อการทำงานของร่างกายอีกต่างหาก

วิธีการต้มที่ถูกต้องคือ ต้มครั้งแรกด้วยปริมาณน้ำพอสมควร จากนั้นเทน้ำจากการต้มรอบแรกทิ้งไป ใส่น้ำลงไปใหม่ ตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง ใส่ไข่ เนื้อสัตว์และผัก เทใส่ชามจากนั้นจึงค่อย เทเครื่องปรุงใส่ในชาม ซึ่งถ้าจะให้ดี คุณอาจใช้เครื่องปรุงเพียงครึ่งซอง หรือน้อยกว่านั้นก็ได้ อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรรับประทานแต่ บะหมี่สำเร็จรูปอย่างเดียว ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพิ่มเงินอีกนิด สลับไปทานอาหารจานเดียวอย่างอื่นบ้าง อาจจะเป็น ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน อาหารไทยมีให้เลือกกินตั้งมากมาย เพื่อสุขภาพในระยะยาว

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อาหารเพื่อสุขภาพ

หากพูดถึงอาหารแนวสุขภาพ ก็ต้องนึกถึง "ธัญพืช" เป็นลำดับต้นๆ โดยเฉพาะ ธัญพืชเต็มเมล็ด หรือเรียกสั้นๆ ว่า โฮลเกรน ซึ่งเป็นธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี หรือขัดสีน้อยที่สุด โดยยังคงมีส่วนประกอบ ทั้งเยื่อหุ้มเมล็ด, เนื้อเมล็ด และจมูกข้าว ครบถ้วนแบบนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสุดๆ เพราะโฮลเกรน เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่อุดมไปด้วยเส้น ใยอาหาร, วิตามิน, แร่ธาตุ และไฟโตนิวเตรียนท์ หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ

การกินโฮลเกรนจึงส่งผลดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ "สง่า ดามาพงษ์" นักโภชนาการ ประจำกระทรวงสาธารณสุข ชี้ให้เห็นว่า โรคอ้วนและโรคข้างเคียง ซึ่งไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ, หลอดเลือด, ความดัน, เบาหวาน มีคนเป็นเพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศตะวันตกและตะวันออก การใส่ใจเรื่องอาหารการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ธัญญาพืช อาหารเพื่อสุขภาพ
อาหารแนวสุขภาพอย่าง "ธัญพืชเต็มเมล็ด" หาได้ไม่ยากใกล้ตัวที่สุดและดีที่สุดคือ "ข้าวกล้อง" นั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีข้าวโอ๊ต, ข้าวบาร์เล่ย์, ซีเรียล,ขนมปัง และพาสต้า ที่ทำมาจากโฮลเกรน แบบไทยๆก็มีลูกเดือยและข้าวโพด

ส่วนหนุ่มสาวที่รักสวยรักงาม ถ้ากินอาหารแนวนี้จะได้ถึงสองเด้ง!!! คือนอกจากสุขภาพจะฟิตเปรี๊ยะแล้วยังได้ "หุ่น" อีกต่างหาก ใครที่ใช้วิธีลดความอ้วนแบบอดมื้อกินมื้อ ขอบอกว่า "เอาต์" แล้วจ้า

อาหารเพื่อสุขภาพ
อยากสวยสดหุ่นดีต้องกินอาหารทุกมื้อ โดยเฉพาะ มื้อเช้า ซึ่งเป็นมื้อสำคัญที่สุด ควรเลือกกินอาหารประเภทโฮลเกรน เพราะจะทำให้อยู่ท้อง ไม่รู้สึกโหย และพลังงานจะกระจายไปจนถึงมื้อเที่ยง พอถึงช่วงกลางวัน แค่ก๋วยเตี๋ยวสักชาม หรือข้าวราดแกงอร่อยๆ ก็อิ่มสบายท้องแล้ว จากนั้นเมื่อถึงมื้อเย็น ค่อยหาอะไรทานเบาๆ อย่างสลัด, ซุป หรือปลาย่าง จะช่วยให้หลับสบายไม่อึดอัดท้อง ส่วนเด็กๆกินอาหารประเภทนี้ ก็จะช่วยเสริมสร้างสมาธิ เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ทำให้ห่างจาก "โรคอ้วน" แน่นอน

"ยู อาร์ วอท ยู อีท" กินอย่างไรก็ได้รับอย่างนั้น ถ้าเลือกกินสิ่งที่อุดมไปด้วยโภชนาการอาหารก็จะเป็นยามหัศจรรย์ได้เช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ใส่รองเท้าส้นสูงเสี่ยงเป็นโรคข้อต่ออักเสบ

ผู้หญิงเป็นกลุ่มที่ชื่นชอบแฟชั่นมาก และรองเท้าส้นสูงเป็นสิ่งที่ได้รับการพิจารณาแล้วว่าจำเป็นมากสำหรับพวกเธอ แต่ส้นรองเท้าที่สูงตระหง่านเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความเสี่ยงของโรคข้อต่ออักเสบในภายหลัง และนี่ถือเป็นคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเท้า

โดยรองเท้าส้นสูงสามารถเปลี่ยนการทรงตัว และเพิ่มแรงดันให้กับเท้าของคุณ ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะส่งผลต่อข้อเท้าและข้อต่อหัวเข่า ที่สำคัญยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมอีกด้วย โดยลักษณะที่กล่าวมาเหล่านี้เป็นสิ่งที่พบมากที่สุด มันทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและความฝืดขึ้นในบริเวณข้อต่อ และอาการดังกล่าวนี้ส่งผลกระทบต่อชาวอังกฤษอย่างน้อยแปดล้านคน

ใส่รองเท้าส้นสูงเสี่ยงเป็นโรคข้อต่ออักเสบ
หมอรักษาโรคเกี่ยวกับเท้าและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเล็บ กล่าวว่า ปัญหานี้กำลังเพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้หญิง จากการออกไปสำรวจผู้หญิง 2,000 คนในย่านของผู้หญิงพบว่า ผู้หญิงสวมรองเท้าส้นสูงทุกวัน หรือแทบทุกวัน

ศาสตราจารย์แอนโทนี รีดมอนด์ นักวิจัยด้านสังคมวิทยาและหมอรักษาโรคเท้า ได้ให้คำแนะนำแก่ผู้หญิงว่า ควรเลือกรองเท้าที่มีปลายโค้งมน มีส้นสูงเพียง 1-3 เซนติเมตร และพื้นรองเท้าก็ต้องรองรับและดูดซับแรงกระแทกจากเท้าด้วย เพื่อป้องกันโรคข้อต่ออักเสบ

ใส่รองเท้าส้นสูงเสี่ยงเป็นโรคข้อต่ออักเสบ
นอกจากนี้ สังคมโลกยังได้เตือนประเทศในสหราชอาณาจักรถึงเรื่องการใส่รองเท้าส้นสูงเป็นเวลานานด้วย เพราะอาจจะนำมาสู่ปัญหาโรคข้ออักเสบ ที่เรียกได้ว่าเป็นขั้นวิกฤติที่เกิดขึ้นจากการสวมรองเท้าส้นสูงได้ โดยปัจจุบันพบว่า มีคนกำลังประสบปัญหาโรคข้ออักเสบเพิ่มขึ้นมาก

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ต้นใต้ใบสุดยอดสมุนไพรรักษาโรค

สมุนไพรชื่อแปลก ๆ แต่สรรพคุณสุดยอด หญิงสาวหลายคนรู้จักมันอย่างไม่เต็มใจเพราะต้องเคยดื่มน้ำขม ๆ เวลาเป็นไข้ทับฤดู

ต้นใต้ใบ ลูกใต้ใบ หญ้าใต้ใบ หรือ มะขามป้อมดิน ล้วนเป็นชื่อของสมุนไพรชนิดนี้ เป็นพืชล้มลุกสูงประมาณ 1-2 ฟุต ทุกส่วนมีรสขม ลำต้นเรียบแตกกิ่งก้านสาขามาก ใบเดี่ยวเรียงสลับกัน ใบมน ก้านใบสั้น ผลรูปกลมแป้นขนาดเล็ก ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรที่แพร่กระจายอยู่ในหลายๆ ประเทศ แต่ละถิ่นที่มีลูกใต้ใบจะใช้ประโยชน์ทางยาจากสมุนไพรชนิดนี้เหมือน ๆ กัน

สรรพคุณของต้นใต้ใบ
สรรพคุณมีมากมาย ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรสำหรับทานแก้ไข้ได้ทุกชนิด รวมทั้งแก้ท้องเสียด้วย ชาวบ้านในหลายพื้นที่นิยมตากลูกใต้ใบให้แห้งเก็บใส่โหลไว้ชงเป็นชากินเพื่อแก้ไข้ มีรายงานการวิจัยพบว่าลูกใต้ใบมีฤทธิ์ในการแก้ไข้ แก้อักเสบได้ สอดคล้องกับการใช้ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อตับอีกด้วย คือ ถ้าต้มลูกใต้ใบดื่มติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์จะช่วยกำจัดพิษออกจากตับ มีผลทำให้สายตาดี บำรุงตับ และรักษาอาการดีซ่าน รวมถึงสามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี ได้ผลดีอีกด้วย

ต้นใต้ใบ
ลูกใต้ใบยังเป็นสมุนไพรยอดนิยมสำหรับผู้ป่วยเบาหวานเพราะช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีประโยชน์ในการขับนิ่ว และลดความดัน สำหรับสาว ๆ ที่เป็นไข้ระหว่างมีประจำเดือน แนะนำให้นำต้นใต้ใบนี้มามัดรวมแล้วต้มดื่มน้ำ หรือนำหญ้าใต้ใบล้างน้ำให้สะอาด ตำละเอียดผสมสุรา คั้นเฉพาะน้ำยา กินครั้งละ 1 ถ้วยชาก็ได้ ข้อควรระวังก็คือ ห้ามใช้ในคนท้อง เพราะลูกใต้ใบเป็นยาขับประจำเดือน แน่นอนมันเป็นยารักษาโรคได้มากขนาดนี้ ย่อมมีรสขมมาก พืชชนิดนี้หาไม่ยาก แต่คนมักไม่สนใจไม่รู้จัก จึงทำลายทิ้ง หากทราบประโยชน์ของมันอย่างนี้แล้ว คราวหน้าถ้าเห็น ก็ควรช่วยกันอนุรักษ์ไว้.

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กล้วยหอม

ในกล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด คือ ซูโครส (sucrose) ฟรักโทส (fructose) และกลูโคส (glucose) ให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันที โดยมีรายงานวิจัยยืนยันว่า กล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอต่อการทำงานถึง 90 นาที

จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซึม พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม เพราะในกล้วยหอมมี tryptophan กรดอะมิโนโปรตีน ซึ่งร่างกายแปลงเป็น serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

กล้วยหอมยังมีประสิทธิภาพช่วยผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ เพราะวิตามินบี 6 บี 12 โพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่มีอยู่มาก ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน ในผู้มีอาการเมาค้าง (ซึ่งไม่ควรมีเพราะไม่ควรเมา)

กล้วยหอม
สารวิตามินจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น และเพราะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด การกินกล้วยหอมสัก 1 - 2 คำ ระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น ยังทุเลาอาการแพ้ท้องได้

เส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยของลำไส้เล็กทำงานดีขึ้น ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดี ลดปัญหาท้องผูก และสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีอยู่ยังช่วย ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง แต่อีกด้านกรดต่างๆ ที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้

การรับประทานกล้วยหอมสุกเป็นประจำจะทำให้ร่างกายได้รับสารเพ็กติน โปรตีน วิตามินเอ วิตามินซี รวมถึงธาตุฟอสฟอรัสและแคลเซียม บำรุงสายตาให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ยับยั้งการเกิดโรคต่างๆ ในช่องปาก ลดการเกิดตะคริว และกล้วยหอมเป็นผลไม้เย็น ผ่อนร้อนได้

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อันตรายจากสารพิษใกล้ตัว

ในชีวิตประจำวันของพวกเรา มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มาทำให้ชีวิตเราสบายและรวดเร็วมากขึ้น แต่ในทางกลับกันความสะดวกสบายเหล่านั้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้ โดยเฉพาะสารพิษ สารเคมีใกล้ตัวที่เป็นภัยต่อสุขภาพและไม่อาจมองข้ามได้

1. เฟอร์นิเจอร์
เครื่องใช้ในบ้านและสำนักงานจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้มักตรวจพบสารฟอร์มาลดีไฮด์ตกค้าง และสารเคลือบเงาเช่น โทลูอีน ไซลีน และ เอธิลเบนซิน รวมถึงสีที่มีสารตะกั่วเป็นส่วนประกอบหลุดลอกจากเฟอร์นิเจอร์ หรือผนังอาคารปะปนกับฝุ่นผงในอากาศ

อาการ : สารฟอร์มาลดีไฮด์ โทลูอีน ไซลีน เมื่อสูดดมเข้าไปบ่อย ๆ จะมีอาการระคายเคืองจมูกและลำคอ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ระคายเคืองต่อผิวหนังหรือระบบทางเดินหายใจ ส่วนสารตะกั่วนอกจากจะก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ เบื่ออาหารแล้ว ถ้าได้รับเป็นเวลานานและปริมาณมากจะมีผล คือ ปวดท้องรุนแรง ทำลายสมอง ไต ระบบการย่อยอาหารและระบบการได้ยิน

วิธีป้องกัน : ทำความสะอาดห้องทำงานอยู่เสมอ และจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี

อันตรายจากสารพิษ
2. น้ำยาลบคำผิดและกาว
มีส่วนผสมของสารระเหยที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะมีทินเนอร์และสารประกอบอินทรีย์เคมีชนิดต่าง ๆ ประกอบอยู่ ได้แก่ สารโทลูอีน เบนซิน และสไตลีน ซึ่งมีกลิ่นพิเศษ เฉพาะและระเหยปะปนในอากาศได้ง่าย

อาการ : หากสูดดมในระยะสั้นจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตาผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจ วิงเวียน หน้ามืด มีผลกระทบต่อประสาทส่วนกลาง และเสียการทรงตัวได้ หากสูดดมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้โครโมโซมในเม็ดเลือดผิดปกติจนถึงขั้นเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด หรือหากกลืนสารเหล่านี้เข้าไปและมีการสำลักร่วมด้วยอาจทำให้ปอดอักเสบได้

วิธีป้องกัน : หลีกเลี่ยงการสูดดม และจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี

3. ฝุ่นละอองในสำนักงาน
อาจเกิดจากผงหมึกที่กระจายออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร ฝุ่นเยื่อกระดาษที่อาจพบตามเอกสารต่าง ๆ บนโต๊ะทำงาน หรือกระดาษปิดผนังหรือวอลเปเปอร์ โดยฝุ่นเหล่านี้สามารถเข้าไปสะสมในปอดได้

อาการ : จะมีอาการไอ จาม และระคายเคืองต่อตา จมูก และคันผิวหนัง หากได้รับบ่อย ๆ อาจก่อให้เกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคหอบหืดได้

วิธีป้องกัน : ควรจัดวางโต๊ะทำงานไม่ให้หนาแน่น ทำความสะอาดห้อง และโต๊ะทำงานเป็นประจำ แบ่งโซนเครื่องถ่ายเอกสารหรือหนังสือให้อยู่ในมุมที่ห่างไกลจากคนทำงาน

4. สารเคมีจากคอมพิวเตอร์
มีผลการศึกษาของนักวิจัยในสวีเดนระบุว่า สารเคมีจากจอคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ โดยสารเคมีที่ชื่อ Triphenyl Phosphate ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในจอวิดีโอหรือปากกาเคมี ตลอดจนสเปรย์ปรับอากาศ ซึ่งมีกลิ่นจากสารเคมี

อาการ : ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูกและตาได้

วิธีป้องกัน : ทำความสะอาดห้องทำงานอยู่เสมอ และจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี

5. ไอเสียจากรถยนต์
ในระหว่างการเดินทางไปทำงานและกลับบ้านทุก ๆ วันท่ามกลางการจราจรอันแออัด คุณแม่มีโอกาสได้รับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ที่มีการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์จากรถยนต์ที่วิ่งอยู่ตามถนน และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้สุขภาพของคุณแม่แย่ลงได้

อาการ : ถ้าได้รับปริมาณน้อย ๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หายใจ หอบสั้น คลื่นไส้ ง่วงซึม และการตัดสินใจไม่ค่อยเด่นชัด มีความสับสน แต่ถ้าในระดับความเข้มข้นที่สูงมาก ๆ ก็ทำให้ประสาทมึนงง ซึม และหมดสติ

วิธีป้องกัน : ใช้ผ้าปิดปาก หลีกเลี่ยงการสูดดมหรืออยู่ในสถานที่ที่ระบายอากาศได้ดี

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ข้าวกล้อง

"ข้าวกล้องมีประโยชน์ทำให้ร่างกายแข็งแรง ข้าวขาวเม็ดสวยแต่เขาเอาของดีออกไป หมดแล้ว มีคนบอกว่าคนจนกินข้าวกล้อง เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละเป็นคนจน" พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

ข้าวกล้อง คือข้าวที่สีเพียงครั้งเดียว โดยการกะเทาะเปลือกนอกออกเท่านั้น จะไม่มีการขัดสีเอาเส้นใยที่อยู่รอบๆ เมล็ดข้าวออกอย่างเด็ดขาด ดังนั้น การเลือกซื้อข้าวกล้อง จึงควรสังเกต ดังนี้

1. เมล็ดข้าวต้องสมบูรณ์ ไม่มีรอยแหว่งตรงปลายเมล็ดข้าว เพราะถ้ามีรอยแหว่ง แสดงว่า จมูกข้าวหลุดหายไปแล้ว ซึ่งจมูกข้าวนี้เองที่เป็นแหล่งรวมสารอาหารที่มากที่สุดในเมล็ดข้าวแต่ละเม็ด

ข้าวกล้อง
2. สีของเม็ดข้าวเป็นสีขาวขุ่น อาจมีสีน้ำตาลปนอยู่บ้าง มากน้อยขึ้นอยู่กับพันธุ์ข้าว บางครั้งอาจมีสีเขียวอ่อนๆ ติดอยู่ แสดงว่า เป็นข้าวเก็บเกี่ยวใหม่ๆ เยื่อหุ้มเมล็ดข้าวจึงยังติดอยู่ มิได้ถูกขัดสีทิ้งไป

3. เป็นข้าวที่แห้งสนิท ไม่มีความชื้น หรือขึ้นรา

4. บรรจุในถุงปิดสนิท มีแหล่งผลิตและราคาจำหน่ายที่ชัดเจน

5. การซื้อแต่ละครั้ง ควรซื้อในปริมาณที่พอเหมาะกับสมาชิกในครอบครัวที่จะรับประทานได้ 1 - 2 สัปดาห์

6. การเก็บรักษา เมื่อเปิดถุงใช้แล้ว ควรปิดถุงให้มิดชิด เพื่อป้องกันแมลงสาบ หรือ หนู ลงไปแพร่เชื้อ

การกินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา โรคโลหิตจาง กรรมวิธีการหุงข้าวกล้องก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ถ้าใครหุงไม่เป็นอาจทำให้ข้าวแข็งไม่น่ารับประทาน พลอย ทำให้ไม่อยากทานข้าวกล้องไปเสียอีก วิธีง่ายๆ เลยคือเริ่มจาก การเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และควรซาวข้าวเพียงครั้ง เดียวเพื่อไม่ให้สูญเสียวิตามินไปกับน้ำซาวข้าว

ในการหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำในปริมาณที่มากกว่าการหุงข้าว ขาวเพราะข้าวกล้องมีเยื่อหุ้มเมล็ด การดูดซึมน้ำจะยากกว่าจึงต้อง ใช้เวลาหุงนาน แต่เพื่อเป็นการประหยัดเวลาควรจะแช่ข้าวกล้อง ก่อนหุงประมาณ 5-10 นาที ข้าวกล้องที่หุงแล้วจะได้นุ่มหอมน่ารับ ประทาน

การรับประทานข้าวกล้องนั้น สำหรับผู้ที่รับประทานใหม่ๆ อาจจะ ไม่เคยชิน รู้สึกฝืดคอแต่หากรับประทานไประยะหนึ่งจะรู้สึกว่า ข้าวกล้องหอม ยิ่งเคี้ยวนานๆ ก็จะได้รสชาติหวานอร่อย ได้รส ชาติมากกว่าข้าวขาว

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ดูแลผิวอย่างไรดีเมื่อเป็นสิว

ทุกคนที่มีสิวเกิดขึ้น ไม่ว่าจะบนใบหน้า หรือแผ่นหลังก็ตาม มักประสบปัญหาผิวหนังมีร่องรอยจากสิว จำนวนมากบ้าง น้อยบ้าง แตกต่างกันไปตามสภาพผิว และ/หรือพฤติกรรมขณะเกิดสิวด้วย

ข้อแนะนำสำหรับการดูแลผิวของผู้ที่เป็นสิวโดยทั่วไป ดังนี้
1. ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน
ตอนเช้าล้างหน้า 1 ครั้ง และตอนเย็นอีก 1 ครั้ง หลังออกกำลังกายหากเหงื่อออกมากอาจล้างหน้าได้ แต่ถ้าหน้าแห้งมากอาจลดการใช้สบู่ลงได้

2. การขัดถูใบหน้า
ไม่ควรใช้สบู่ที่แรง ๆ สบู่ยา หรือสบู่ที่ผสมเม็ดขัดถู ควรล้างหน้าอย่างแผ่วเบา โดยล้างหน้าตั้งแต่ใต้คางไปจดแนวไรผมที่หน้าผาก

หลังฟอกสบู่ต้องล้างสบู่ออกให้หมด หลีกเลี่ยงการใช้โลชันที่ผสมแอลกอฮอล์เช็ดใบหน้า เว้นเสียแต่ว่าผิวหนังมันมากและก็ควรใช้เฉพาะบริเวณที่ผิวมันมากเท่านั้น ควรสระผมอย่างสม่ำเสมอ และผู้ที่มีผมมันมากอาจต้องสระผมทุกวัน

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเกิดสิว
3. ไม่บีบแกะสิว
การบีบแกะสิวจะทำให้เกิดสิวอักเสบลุกลาม แผลเป็น และรอยดำ ไม่ควรถูและจับผิวหนังบ่อยๆ โดยเฉพาะตรงบริเวณที่เป็นสิว

4. โกนหนวดอย่างระมัดระวัง
การโกนหนวดแต่ละครั้งอาจลองเลือกใช้ทั้งใบมีดโกน หรือเครื่องโกนหนวดไฟฟ้า ทดลองดูว่าแบบใดจะเหมาะสมสำหรับสภาพผิวของตนเองมากที่สุด ในผู้ที่ใช้มีดโกนต้องเปลี่ยนใบมีดเสมอ ควรล้างหน้าฟอกสบู่และถูสบู่บริเวณหนวดเคราและทิ้งไว้จนเส้นขนนุ่มขึ้น แล้วจึงทาครีมโกนหนวด

เวลาโกนหนวดจะต้องโกนตามแนวเส้นขน อย่าโกนย้อนขึ้น เพราะอาจทำให้เกิดตุ่มขนคุดแล้วอักเสบเป็นหนองได้

5. หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัด
ยารักษาสิวส่วนใหญ่มักทำให้ผิวไหม้แดดง่ายขึ้น บางคนเชื่อว่าการอาบแดดจัดทำให้สิวหายเร็ว เพราะเมื่อผิวคล้ำขึ้นจะกลบเกลื่อนรอยอักเสบเห่อแดงและรอยดำของสิว แต่แท้ที่จริงแล้วแสงแดดจัดอาจทำให้สิวกำเริบและยังทำให้ผิวเหี่ยวแก่ และเกิดมะเร็งผิวหนังง่ายขึ้น

6. การใช้ยาทารักษาสิวที่ซื้อมาเอง
ต้องอ่านฉลากยาให้เข้าใจละเอียดเสียก่อน ถ้าเป็นยาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ต้องใช้ตามคำแนะนำและใช้อย่างสม่ำเสมอ

7. ผลิตภัณฑ์ปกปิดรอยสิว (cover - up products)
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ปกปิดสิวหลายชนิดที่อาจพรางให้สิวจางลง และรอเวลาให้สิวหายเองได้ ส่วนใหญ่ใช้ได้ผลและไม่ทำให้สิวเลวลง

8. เครื่องสำอางบางตัวและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
มีเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อาจทำให้สิวเลวลงได้ เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า ไม่ก่อให้เกิดสิว (non comedogenic)

9. อาหารหวานจัด
งดกินอาหารหวานจัด เช่น ขนมหวาน อาหารจำพวกแป้ง และอาหารที่มีไขมันหรือส่วนผสมของนมและผลิตภัณฑ์จากนมสูง พยายามไม่เครียด โดยการออกกำลังกาย และนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประโยชน์ กล้วยน้ำว้า

กล้วย” เป็นพืชล้มลุก มีลำต้นสูง ยกเว้นกล้วยน้ำว้าซึ่งจะมีลำต้นสูงไม่เกิน 4 เมตร ก้านใบมีร่องค่อนข้างแคบ ก้านดอกไม่มีขน ลักษณะของดอก จะออกดอกที่ปลายเป็นช่อห้อยหัวลง ยาวประมาณ 1-2 ศอก(ปลี) กล้วยเครือหนึ่งจะมีประมาณ 8-10 หวี และในแต่ละหวีจะมีผล 13-16 ผล
กล้วยน้ำว้า ผลไม้ไทย ที่มีมาแต่รู้โบราณ คนไทยรู้จักกล้วยน้ำว้าดีพอ ๆ กับกล้วยไข่หรือกล้วยหอม ยิ่งถ้าเป็นคุณค่าสารอาหารที่ได้รับแล้ว มากประโยชน์ถึงขั้นที่เรียกว่าต้องรีบไปหามากินกันเลยทีเดียว
กล้วยดีอย่างไร

กล้วย ถึงจะเป็นผลไม้ ที่ไม่น่าจะให้พลังงานได้เยอะ แต่เชื่อหรือไม่ว่า กล้วยเป็นแหล่งพลังงานสำรองชั้นดี ในกล้วย 1 ผล สามารถให้พลังงานได้ร่วม 100 แคลอรี่ มีน้ำตาลธรรมชาติอยู่ 3 ชนิด ทั้ง ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโครส รวมไปถึงเส้นใยและกากอาหาร ดังนั้น ถ้าหากหิว ก็สามารถทานกล้วยรองท้องได้ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของกล้วยที่กิน เช่น กล้วยไข่ อาจทานได้มากกว่า 3 ผล ต่อ 1 ครั้ง กล้วยน้ำว้า 1-2 ผล กล้วยหอม 1-1 ครึ่งผล) และในกล้วยเอง ยังอุดมด้วย วิตามินบี 6 ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน แถมแร่ธาตุอย่างแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ที่ช่วยป้องกันโรคความดันอีกด้วย

สุขภาพดีได้ง่าย ๆ กับกล้วยน้ำว้าอย่างน้อย วันละ 1-2 ผล

กล้วยน้ำว้า
ในบรรดากล้วยทั้งหมด กล้วยน้ำว้าให้วิตามินเอสูงสุด นอกจากนั้นก็ยังมีวิตามินบี 1 บี 2 ซี และไนอะซิน (บี 6) ในปริมาณที่เท่า ๆ กัน แต่ที่ทำให้กล้วยน้ำว้า มีคุณค่าสารอาหารที่พิเศษกว่ากล้วยชนิดอื่น นั่นก็คือ โปรตีนที่อยู่ในกล้วยน้ำว้า มีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก ถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตอนเด็ก ๆ ผู้ใหญ่ถึงให้เรากินกล้วยบด เพราะอุดมด้วยสารอาหาร และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายเรานั่นเอง

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การดูแลรักษาเล็บให้มีสุขภาพดี

1 หมั่นทะนุถนอมเล็บ คอยระวังไม่ให้เล็บได้รับอันตราย
อย่าใช้เล็บเป็นเครื่องมือ หลายๆ ท่านที่ใช้เล็บมือ ต่างไขควง ทารุณกันอย่างนี้เล็บก็พังแน่ นอกจากนั้นการถนอมเล็บทำได้โดยแทนที่จะใช้นิ้วหมุนโทรศัพท์ ก็เปลี่ยนมาใช้ดินสอแทน บางคนเวลาค้นหาอะไรในกระเป๋า ก็ใช้เล็บควานไปทั่ว แบบนี้เล็บก็เสีย จำไว้เวลา จะหยิบจะจับอะไร ให้ใช้ปลายนิ้วจับแทนที่จะใช้เล็บ

2. ระหว่างที่ทำงานกวาดบ้านทำงาน หรือล้าง ถ้วยล้างชาม ควรสวมถุงมือ
ทั้งนี้เพราะเมื่อเล็บโดนสารเคมี เช่น สบู่ ผงซักฟอก น้ำมันทำความสะอาด จะทำให้เล็บเสีย คือเล็บเปราะเล็บขรุขระ และเล็บแตกได้ นอกจากนั้นก็ทำให้ผิวหนังข้างเล็บอักเสบติดเชื้อโรคได้ง่าย

การดูแลสุขภาพเล็บ
3. ไม่ควรทำเล็บบ่อยเกินไปการทำเล็บบ่อยๆ
อาจทำอันตรายต่อเยื่อหุ้มเล็บ (cuticle ) ซึ่งเป็นผิวหนังส่วนที่ปกคลุมโคนเล็บอยู่ นอกจากนั้นการทำเล็บโดยเครื่องมือที่ไม่สะอาด ก็เป็นหนทางที่ทำให้ผิวหนังรอบเล็บติดเชื้อโรคเกิดการอักเสบตามมาได้

4. ก่อนจะตัดสินใจเลือกเครื่องสำอางที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาเล็บ
ต้องเข้าใจถึงวิธีใช้ให้ละเอียด รวมถึงผลเสียที่ตาม มาด้วย อย่าฟังแต่เพียงคำโฆษณาอย่างเดียว น้ำยาพวกเคลือบชักเงาเล็บ เมื่อทาแล้วต้องทิ้งไว้ให้แห้งนาน 15 นาที มิเช่นนั้น ถ้าเล็บยังไม่แห้งแล้วไปถูกผิวหนังส่วนอื่นของร่างกาย อาจเกิดการระคายเคืองได้

สีทาเล็บทำให้เกิดการแพ้ได้เช่นกัน อาการแพ้ สีทาเล็บมักเกิดในตำแหน่งที่หลายคนคาดไม่ถึง คือเป็น ผื่นรอบดวงตาจนทำให้ดูคล้ายตัวแร็กคูน เพราะใช้เล็บเกาเปลือกตาโดยไม่รู้ตัว เมื่อมีอาการแพ้สีทาเล็บในขั้นแรกอาจเปลี่ยนยี่ห้อก่อนโดยยังใช้สีเดิม ถ้าแพ้อีกให้ลองเปลี่ยนสี บางคนอาจแพ้เฉพาะสีบางสีแต่ถ้าทั้งเปลี่ยนสีและยี่ห้อแล้วยังมีอาการแพ้ ที่พบมากจะแพ้เกิดผื่นคัน อาการแพ้ที่พบมากจะเกิดผื่นคันที่เปลือกตา ถ้าต้องการใช้ยาทาเล็บอยู่ ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อรับการทดสอบว่าแพ้ส่วนประกอบใดในยาทาเล็บ เมื่อทราบแล้วจะสามารถเลือกยาทาเล็บที่ไม่มีส่วนประกอบนั้นได้

5. เล็บขบ
ปัญหาเรื่องเล็บขบที่เป็นกับเล็บเท้านั้นเกิดจากการตัดเล็บไม่ถูกวิธี คือ ตัดเล็บโค้งมากเกินไปเมื่อเล็บงอกใหม่จะแทงเข้าไปในหนังหุ้มเล็บข้างๆ ควรตัดเล็บเท้าให้ปลายเรียบเสมอกัน ไม่ต้องโค้งงอ และไม่ควรใส่รองเท้าที่แคบเกินไปรวมถึงมีหัวแหลมเรียวเกินไป นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงรองเท้าส้นสูงด้วยเพราะน้ำหนักจะทิ้งตัวลงมาบนเล็บมากขึ้น

6. การตะไบเล็บ
ต้องใช้ตะไบเล็บด้านที่เป็นเม็ดละเอียด เวลาตะไบให้ตะไบจากด้านข้างเข้าสู่ตรงกลางเล็บ อย่าตะไบจากตรงกลางออกไป

7. การดูแลรักษาหนังหุ้มโคนเล็บ
ต้องทำด้วยความระมัดระวัง ต้องแช่มือแช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนเป็นเวลา 2-3 นาที แล้วจึงค่อยๆ ทำความสะอาดหนังบริเวณนี้ ครีมให้ความชุ่มชื้นหรือน้ำมันมะกอกจะช่วยหล่อเลี้ยงหนังบริเวณนี้ให้ชุ่มชื้น ไม่แห้งและลอกแตกเป็นขุยได้ การใช้เครื่องมือแข็งๆ เขี่ยทำ ความสะอาดบริเวณหนังหุ้มโคนเล็บอาจทำให้เล็บได้รับบาดเจ็บ เกิดเป็นร่องหรือสันนูนขึ้นได้

8. เล็บแห้งเกินไป
เล็บจะเปราะและแตกง่าย การดูแลรักษาเล็บที่แห้ง ทำได้ง่ายๆ คือก่อนนอนให้แช่มือลงในน้ำอุ่นสัก 10-15 นาที ซับน้ำให้แห้งหมาดๆ แล้วทาครีมให้ความชุ่มชื้นที่มือและเล็บ

9. โฆษณาชวนเชื่อที่ว่าถ้าคุณมีเล็บเปราะและแตกง่าย
ควรได้รับสารอาหารคือ เจลาติน แคลเซียม เหล็ก กินนั้น เป็นโฆษณาที่ไม่จริง โปรตีนของเล็บเป็นชนิดเคอราติน ไม่ใช่เจลาติน นอกจากนั้น แคลเซียมและเหล็กในเล็บเป็นส่วนประกอบที่มีเพียงเล็กน้อย และมักได้รับเพียงพอจากอาหารประจำวันอยู่แล้ว

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กลิ่นปาก

กลิ่นปาก คือ ลมหายใจที่ผ่านช่องปากมีกลิ่นเห็นเป็นครั้งคราว หรือมีกลิ่นตลอดเวลาก็ว่าได้ คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่ามีกลิ่นปาก อาจทดสอบด้วยตัวเองโดยการใช้มือบังบริเวณปากและจมูก แล้วหายใจออกทางปาก แล้วตามด้วยหายใจเข้าทางจมูกก็จะได้กลิ่นปาก

ส่วนใหญ่เกิดจากเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ตามซอกฟัน บริเวณที่ทำความสะอาดได้ยาก หรือในรูฟันผุ ซึ่งจะมีเศษอาหารเน่าอยู่ รวมทั้งแผ่นคราบฟันและหินปูนที่อยู่รอบๆ ฟัน ซึ่งเป็นที่เก็บกักและสะสมเชื้อโรคต่างๆ

บางคนพบว่าเหงือกเป็นหนองจากโรคปริทันต์ หรือมีฟันโยก อาหารบางชนิดเมื่อรับประทานจะมีกลิ่นขับออกมาทางลมหายใจ เช่น หัวหอม กระเทียม ทุเรียน ผู้ที่ดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ หรือท้องผูกหลาย ๆ วัน ก็ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ รวมทั้งผู้ป่วยโรคทางร่างกายบางอย่าง เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง วัณโรค โรคปอด และโรคระบบทางเดินอาหาร

กลิ่นปาก
เราสามารถทดสอบกลิ่นโดยใช้ช้อนพลาสติกขูดเบา ๆ ที่ด้านในสุดของโคนลิ้น ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงดมดู และกรณีคนที่มีกลิ่นปากจากสาเหตุนี้ เวลาเป่าปากจะไม่ค่อยได้กลิ่น แต่จะเหม็นเมื่อเริ่มพูด เนื่องจากมีลมผ่านลิ้นที่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา ดังนั้น จึงควรแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกที่ตกค้างนี้ได้

สรุปว่ากลิ่นปากเกิดได้จากหลายๆ สาเหตุหากแก้ไขที่ต้นเหตุได้ก็จะเป็นวิถีทางที่ดีที่สุด เพราะการใช้ของสำเร็จรูปนั้นเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและชั่วคราวเท่านั้น

วิธีการจะแก้ไขปัญหาเรื่องกลิ่นปาก ให้ได้ผลนั้น ต้องเน้นที่ การดูแลรักษาอนามัยช่องปากให้สะอาด และดูแลรักษาสภาวะในช่องปากให้เป็นปกติ หากมีสภาพของฟันและเหงือกที่เป็นโรค ควรที่จะไปรับการรักษา ในกรณีที่มีฟันเก มีซอกเหงือก หรือร่องเหงือก ที่ทำให้มีเศษอาหารตกค้าง ควรใช้ไหมขัดฟัน ช่วยทำความสะอาดที่บริเวณนี้เพิ่มจากการแปรงฟัน ในส่วนของลิ้นก็ควรแปรงให้สะอาด และแปรงให้ถึงโคนลิ้น ซึ่งมักเป็นแหล่งที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น ในกรณีที่มีปากแห้ง ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อาการปวดต้นคอ

อาการปวดต้นคอเป็นอาการที่พบบ่อย ปวดต้นคออาจะมีสาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบเนื่องจากการใช้งานที่ไม่เหมาะสม หรือออาจจะมีสาเหตุจากกระดูกคอเสื่อม

คอเป็นอวัยวะหนึ่งที่มีการใช้มากที่สุด ยิ่งการทำงานในยุคปัจจุบันคนต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์ต้องก้มหน้าเงยหน้าอยู่ตลอด ประกอบงานปัจจุบันต้องใช้สมองมากทำให้เกิดความเครียดจึงเกิดอาการปวดคอและปวดศีรษะ นอกจากนั้นคอเป็นอวัยวะที่บอบบางเมื่อเทียบกับขนาดสมองและลำตัว ให้เกิดความชอกช้ำหรือบาดเจ็บได้ง่าย นอกจากนั้นคอก็ยังเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทที่รับคำสั่งจากสมองไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย อาการเจ็บคอพบได้ไม่บ่อยเท่าอาการปวดหลัง อาการเจ็บคอที่พบบ่อยที่สุดคือ กล้ามเนื้อคอหดเกร็งทำให้เอี้ยวคอหรือเคลื่อนไหวศีรษะไม่ได้ หรือที่เรียกว่าตกหมอน ซึ่งส่วนใหญ่จะหายเองได้

สาเหตุของการปวดคอที่พบบ่อย

อาการปวดต้นคอ
1. อิริยาบทหรือท่าที่ผิดสุขลักษณะ ทำให้กล้ามเนื้อบางมัดถูกใช้งานจนเมื่อยร้าเกินไป เช่นบางคนชอบนั่งก้มหน้า หรือ หรือช่างที่ต้องเงยหน้าอยู่ตลอดเวลา ใช้หมอนสูงเกินไปวิธีแก้ต้องใช้หมอนหนุุต้นคอหรือบริเวณท้ายทอย

2. ความเครียดทางจิตใจซึ่งอาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ เช่นการงาน ครอบครัว การพักผ่อนที่ไม่พอเพียง ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อคอหดเกร็ง

3. คอเคร็ดหรือยอก เกิดจากการที่กล้ามเนื้อคอต้องทำงานมากเกินไปเนื่องจากคอต้องเคลื่อนไหวเร็วเกินไป หรือรุนแรงเกินไปทำให้เอ็นและกล้ามเนื้อถูกยืดมากจนมีการฉีกขาดบางส่วนจนเกิดอาการปวด ตัวอย่างที่ทำให้เกิดคอเคล็ดเช่น การก้มเพื่อมองหาของใต้โต๊ะ การหกล้ม

4. ภาวะข้อเสื่อม เนื่องจากกระดูกคอต้องแบกน้ำหนักอยู้ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กจนแก่ ทำให้ข้อเสื่อมตามอายุมีปุ่มกระดูกหรือกระดูกงอกที่ขอบของข้อต่อ ซึ่งอาจจะไปกดทับถูกปลายประสาทที่โผล่ออกมา ภาวะข้อกระดูกเสื่อมอาจจะไม่มีอาการปวดหรือผิดปกติใดๆ แต่อาจจะพบโดยบังเอิญ

5. อาการบาดเจ็บของกระดูกคอซึ่งอาจจะเกิดจากอุบัติเหตุต่างๆเช่น ตกที่สูง ถูกทำร้ายร่างกาย รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์พลิกคว่ำ ผู้ป่วยมักจะมีอาการบาดเจ็บของร่างกายส่วนอื่นด้วย

6. ข้ออักเสบ โรคข้ออักเสบเรื้อรังบางชนิดอาจจะทำให้กระดูกต้นคออักเสบด้วย เช่นข้ออักเสบรูมาตอยด์