หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

6 วิกฤตสุขภาพจากเทคโนโลยี

ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเราค่อนข้างมาก แม้ว่าจะช่วยอำนวยความ
สะดวกสบายให้ชีวิตดียิ่งขึ้น หากแต่การใช้เทคโนโลยีเกินความจำเป็น และเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้ กลับส่งผลเสียต่อสุขภาพก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆนาๆ

วิกฤตสุขภาพจากเทคโนโลยี
1. หูดับเพราะโทร.นาน
เชื่อหรือไม่ว่าการใช้โทรศัพท์พูดคุยกันตลอดเวลานั้นสามารถทำร้ายหูของเราได้ ดังกรณีของคนที่เคยใช้โทรศัพท์มือถือนานกว่า 3,000 นาที (ประมาณ 50 ชั่วโมง) ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนอาจส่งผลให้หูสูญเสียการได้ยินชั่วคราว หรือเรียกว่าอาการหูดับ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะก็จะกลับมาได้ยินเป็นปกติแต่อาจจะไม่ชัดเจนเท่าเดิม และอาจมีโอกาสเกิดอาการหูดับได้อีก นอกจากนี้เครื่องเล่นเพลงชนิดพกพาและโทรศัพท์มือถือ ยังก่อให้เกิดโรคหูดับได้เช่นกัน เนื่องจากเสียง ความร้อน และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าล้วนเป็นตัวการทำร้ายระบบการได้ยิน ความดังที่เหมาะสมต่อสุขภาพหูคือ ไม่ควรเกิน 70 เดซิเบล

วิกฤตสุขภาพจากเทคโนโลยี
2. ตาเสื่อมก่อนวัยจากโทรทัศน์
การดูโทรทัศน์ที่มีภาพเคลื่อนไหว มีแสงจ้ามาก และการดูในที่มืดทำให้สายตาต้องคอยปรับโฟกัส ปรับความมืดและสว่างสลับไปมา และยังทำให้ม่านตาต้องทำงานตลอดเวลา ส่งผลให้ปวดตาง่ายกว่าปกติ และทำให้ส่วนต่างๆ ในดวงตาเสื่อมก่อนเวลาอันควร ไม่ว่าจะเป็นวุ้นในลูกตาหรือจอประสาทตา ปัญหาดังกล่าวทำให้การมองเห็นค่อยๆ ลดลงและยังเสี่ยงตาบอดในที่สุด

3. จากภูมิแพ้สู่ไซนัสเพราะห้องปรับอากาศ
แม้เครื่องปรับอากาศทั้งในอาคารและยานพาหนะจะให้ความเย็นสบายและช่วยฟอกอากาศ แต่หากไม่ได้ทำความสะอาด ก็กลับเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี

4. เล่นเกมสนุกจนกล้ามเนื้ออักเสบ
เกมบังคับและโทรศัพท์มือถือชนิดมีแป้นพิมพ์ขนาดเล็กกำลังเป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ แม้จะสร้างความสนุกสนานแก่ผู้ใช้ แต่ก็สามารถทำร้ายสุขภาพได้ เอ็นข้อมืออักเสบ นิ้วมืองอติด (Trigger Finger)

5. สมองถดถอยเพราะใช้เทคโนโลยี
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีใช้งานง่ายอื่นๆ อีก เช่น เครื่องคิดเลข โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อสมองได้

6. คอมพิวเตอร์
นอกจากคอมพิวเตอร์จะเพิ่มโอกาสให้เกิดอาการตาเสื่อมก่อนวัยได้เช่นเดียวกับโทรทัศน์แล้ว การใช้คอมพิวเตอร์ยังก่อให้เกิดอาการอีกมากมาย

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อาหารที่ทานแล้วทำให้อารมณ์ดี

วันนี้เรามีความรู้เคล็ดลับสุขภาพ เรื่องอาหารที่ทานแล้วอารมณ์ดีมาฝากกันค่ะ เพื่อนๆ จะได้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บแถมยังเป็นอาหารที่เราคาดไม่ถึงอีกด้วย

ปลาแซลมอนและปลาแมคเคอเรล

ปลาแซลมอน
อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีการวิจัยยืนยันว่า หากขาดกรดไขมันชนิดนี้จะไปสู่อาการซึมเศร้าได้

น้ำมันคาโนลา (Canola Oil)

น้ำมันคาโนลา (Canola Oil)
คนที่มีอาการซึมเศร้ามักจะมีระดับวิตามินอีต่ำ ซึ่งน้ำมันคาโนลาสามารถทดแทนได้เพราะมีวิตามินอีสูงมาก อาจใช้น้ำมันคาโนลาปรุงอาหารแทนน้ำมันพืชก็ได้ แต่ไม่ควรทานเกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะ เพราะจะทำให้อ้วนได้

ผักโขม

ผักโขม
ผักใบเขียวอย่างผักโขมมีโฟเลตสูง ซึ่งโฟเลตมีส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างเซโรโทนิน ลองหันมากินสลัดผักโขมแทนสลัดผักกาดหอมทั่วไป เวลาอารมณ์ไม่ดีก็ช่วยได้

ถั่วชิกพี หรือถั่วหัวช้าง (Chick Pea)

ถั่วชิกพี หรือถั่วหัวช้าง (Chick Pea)
มีโฟเลตและวิตามินอีสูง นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ ธาตุเหล็ก โปรตีนสูง แต่ไขมันต่ำ เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อสัตว์

ไก่และไก่งวง

ไก่งวง
มีวิตามินบี 6 สูง ซึ่งเป็นสารอาหารอีกชนิดที่มีส่วนสำคัญในการผลิตเซโรโทนิน นอกจากนี้ไก่และไก่งวงยังอุดมด้วยเซเลเนียม วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญ