หน้าเว็บ

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะเพียงพอต่อร่างกาย

การดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจะทำให้สุขภาพดี-ช่วยลดความอ้วนจริงไหม? แท้จริงแล้วการดื่มน้ำมากเกินจำเป็นส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ

หากถามนักแสดงหรือนางแบบว่าเคล็ดลับความงามคืออะไร หนึ่งในสิ่งที่เหล่าคนดังจะแนะนำให้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอคือดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เพราะจะทำให้สุขภาพดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกาย การขาดน้ำจากการไดเอ็ทเป็นสาเหตุแห่งอาการท้องผูก

แต่ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะเป็นการ“ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ” ซึ่งเรามักจะได้ยินกันว่าต้องดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ถ้าดื่มไม่ได้ตามเป้า นอกจากจะเสี่ยงต่อการมีน้ำหนักเกินหรือผิวหนังเหี่ยวย่นแล้ว ยังทำให้สมองสูญเสียน้ำซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการตั้งสมาธิกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย
จากคำเตือนให้ดื่มน้ำมากๆ นี้ส่งผลให้ขวดน้ำขายได้มากเป็นหนึ่งเท่าตัวในประเทศอังกฤษช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และขวดน้ำก็กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่คนอังกฤษส่วนใหญ่มักจะพกติดตัวออกนอกบ้าน สำคัญพอๆ กับกระเป๋าสตางค์และกุญแจบ้าน

หากร่างกายได้รับน้ำมากเกินไปจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการ“ไฮโปแนทรีเมีย”ซึ่งเป็นอาการที่เกลือในร่างกายลดลง ทำให้สมองเต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งนำไปสู่อาการชักและเสียชีวิตในที่สุด แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป อาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เนื่องจากร่างกายมีกระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าการดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารจะช่วยลดน้ำหนัก หรือการที่ร่างกายสูญเสียน้ำเล็กน้อยจะเป็นสาเหตุแห่งความเจ็บไข้ได้ป่วย

การดื่มน้ำ
ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะเพียงพอต่อร่างกาย
ความต้องการน้ำของร่างกายแตกต่างกันไปในแต่ละคน และแตกต่างกันไปในแต่ละวันอีกด้วย กลุ่มที่ต้องการน้ำมากที่สุดคือเด็กและผู้สูงวัย ส่วนผู้ใหญ่ต้องการน้ำวันละ 20-30 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม เช่นถ้าน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ร่างกายก็จะต้องการน้ำวันละประมาณ 1 ลิตร แต่ไม่ต้องดื่มน้ำให้ครบตามจำนวนที่คำนวณก็ได้ เพราะในอาหาร ผักและผลไม้ที่รับประทานก็มีน้ำเช่นกัน นอกจากนี้การดื่มชา กาแฟ น้ำส้มหรือแม้แต่น้ำอัดลมก็ช่วยเติมน้ำให้ร่างกาย

หลายคนอาจนึกว่าการกระหายน้ำเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดน้ำ ที่จริงแล้วแค่เป็นตัวบอกว่าระดับน้ำในร่างกายน้อยลงเท่านั้น ยังไม่เป็นอันตราย ไม่ต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อชดเชย แต่ถ้าป่วยต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพราะร่างกายจะขจัดความร้อนด้วยการสร้างเหงื่อ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ จึงต้องการน้ำมากกว่าปกติประมาณ 500 มิลลิลิตรต่ออุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้น1องศาเซลเซียส ซึ่งในสภาพอากาศร้อนหรือหลังออกกำลังกายที่เสียเหงื่อมากก็ต้องชดเชยน้ำให้ร่างกายด้วย

วิธีสังเกตว่าร่างกายขาดน้ำหรือไม่
ดูได้จากสีของปัสสาวะที่ต้องใส ไม่มีสีและปัสสาวะประมาณ 3-4 ครั้งต่อวัน แสดงว่าร่างกายปกติดี แต่หากปัสสาวะมีสีเข้มและปัสสาวะน้อยกว่าวันละ 3 ครั้ง ให้ดื่มน้ำมากๆ เพราะแสดงว่าร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

แต่งหน้าติดทนไม่มันเยิ้ม

สาวๆ ที่แต่งหน้าคงจะพบปัญหาหน้ามันเยิ้มเมื่ออากาศร้อน เพราะเครื่องสำอางต่างๆ ที่ประโคมไว้อย่างดีบนหน้าพร้อมจะละลายออกมาได้ทุกเมื่อ

การแต่งหน้าให้ติดทนนาน ก่อนอื่นต้องเริ่มตั้งแต่การล้างหน้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้หน้าแห้ง เพราะหากน้ำมันบนผิวถูกชะล้างออกจนหมด ผิวก็จะผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้หน้ามันเยิ้มยิ่งขึ้น สำหรับทริคการแต่งหน้าที่ดีที่สุดในช่วงอากาศร้อนคือ แต่งหน้าให้บางที่สุด ไม่ต้องทาครีมหนาๆ หลายชั้น เพราะอาจละลายเยิ้มได้ง่าย ถ้าใช้รองพื้นและติดไม่ทน อาจลองใช้เมคอัพ พริมเมอร์ ซึ่งจะทำให้ผิวเรียบขึ้นและทำให้เมคอัพติดทนตลอดวัน

การแต่งหน้าติดทน
ถ้าไม่ต้องแต่งหน้าที่ปกปิดผิวมากนัก อาจใช้เพียงแค่คอนซีลเลอร์แต้มเป็นจุดๆ บนใบหน้า เกลี่ยให้ทั่วแล้วลงแป้งบางๆ แต่หากต้องการการปกปิดอีกขั้น ให้ใช้ทินท์ มอยเจอร์ไรเซอร์ หรือครีมบำรุงผิวที่มีสีเพื่อจะทำให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้น จากนั้นจึงทาคอนซีลเลอร์ทับ

สำหรับบริเวณดวงตา ควรใช้อายแชโดว์แบบครีมเพื่อให้ติดทนนาน แต่ถ้าไม่ต้องการลงทุนกับอายแชโดว์ตลับใหม่ การใช้แปรงอายแชโดว์ที่ชื้นจะเปลี่ยนอายแชโดว์ให้มีความเหนียวข้นเหมือนครีม นอกจากจะมีสีเข้มขึ้นเล็กน้อยแล้วยังติดทนนานกว่าอายแชโดว์แบบฝุ่นอีกด้วย จากนั้นให้ใช้อายแชโดว์แบบฝุ่นปัดทับอีกชั้น

การแต่งหน้าติดทน
ส่วนมาสคาร่า ให้ใช้มาสคาร่าแบบกันน้ำ เพราะกันเหงื่อได้ดี หากฝนตกหรือลงเล่นน้ำก็ไม่ต้องกลัวว่าตาจะดำเปื้อนเป็นหมีแพนด้า แต่ไม่ควรใช้ทุกวันเพราะมาสคาร่าแบบกันน้ำจะทำให้ขนตาแห้งและเปราะขาดง่าย ถ้าต้องการเพียงให้ขนตางอนอยู่ตัว ไม่ต้องการเพิ่มความหนาหรือความยาว แค่ดัดขนตาและปัดด้วยมาสคาร่าแบบใสก็เพียงพอ

ต่อกันที่การเลือกอายไลเนอร์ที่ควรเลือกแบบกันน้ำด้วย โดยมีทริคสำหรับการใช้อายไลเนอร์ช่วงหน้าร้อนคือก่อนใช้ให้เอาอายไลเนอร์ไปใส่ไว้ในช่องฟรีซสักครู่ เพราะเวลาใช้อายไลเนอร์กรีดตานอกจากจะรู้สึกเย็นสดชื่นแล้ว ยังทำให้ได้เส้นคมสวยมากขึ้น ส่วนใครที่หนังตามันมากๆ และอายไลเนอร์ชอบหลุด หลังจากกรีดอายไลเนอร์เสร็จแล้วให้ใช้อายแชโดว์ทาบางๆ ทับเส้นอายไลเนอร์ที่กรีด จะทำให้อายไลเนอร์ไม่หลุดลอกและติดทนตลอดวัน

สำหรับแก้ม อาจลองเปลี่ยนมาใช้บลัชออนแบบครีมบลัชปัด ซึ่งจะติดทนนานกว่าแบบพาวเดอร์บลัช และหากผิวแห้งครีมบลัชยังเป็นตัวเลือกที่สามารถใช้ได้ในทุกสภาพอากาศ เพราะนอกจากจะทำให้ผิวชุ่มชื้นแล้วยังไม่ทำให้ผิวมันเยิ้มจนเกินไป

ส่วนสุดท้ายของใบหน้าที่เครื่องสำอางหลุดลอกออกไปได้ง่ายที่สุดคือริมฝีปาก หากชอบใช้ลิปกลอสให้เก็บไว้ก่อนในวันที่ต้องเผชิญกับแดดจัด เพราะการใช้ลิปกลอสที่มันวาวจนเกินไปจะเพิ่มโอกาสการทำให้ปากไหม้หากถูกแดดมากๆ ดังนั้นถ้าต้องออกแดดนานๆ ควรใช้ลิปสติกที่เหมาะกับอากาศร้อนและกันน้ำ อย่างลิปสเตนหรือลิปบาล์มจะดีกว่า หลังจากทาลิปสเตนแล้วควรทาลิปบาล์มทับลงไปเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และควรเลือกลิปบาล์มที่ผสมสารป้องกันแสงแดด

ที่สำคัญเวลาเหงื่อออกให้ใช้กระดาษทิชชูค่อยๆ ซับหน้า อย่าถู เพื่อให้เครื่องสำอางติดทนบนหน้า ไม่หลุดลอกออกมาบนกระดาษทิชชู

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

นาฬิกาชีวิต

ใครจะรู้บ้างว่าคนเราก็มีนาฬิกาชีวิตเหมือนกัน หากเราได้รู้จักนาฬิกาชีวิตของตัวเอง ก็อาจจะสามารถบาลานซ์การใช้ชีวิต โรคภัยย่างกรายมาถามหาน้อยลง

นาฬิกาชีวิต
01.00-03.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "ตับ" ควรหลับพักผ่อนให้สนิท

03.00-05.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "ปอด" ควรตื่นมาสูดอากาศสดชื่น

05.00-07.00 น. เป็นช่วงเวลาของ "ลำไส้ใหญ่" ควรขับถ่ายอุจจาระ

07.00-09.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "กระเพาะอาหาร" ควรกินอาหารเช้า

09.00-11.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงาน "ม้าม" ควรพูดน้อย กินน้อย ม้ามทำหน้าที่ในการดึงเอาธาตุเหล็กจากฮีโมโกลบินของเซลล์เม็ดเลือดแดง นำมาใช้ในร่างกาย และยังทำหน้าที่เอาของเสียออกจากกระแสเลือดในรูปของน้ำปัสสาวะเช่นเดียวกับตับ

11.00-13.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "หัวใจ" ควรเลี่ยงการใช้ความคิด ความเครียด ระงับอารมณ์ตื่นเต้นตกใจ

13.00-15.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "ลำไส้เล็ก" ควรงดกินอาหารทุกประเภท ลำไส้เล็กมีหน้าที่ย่อยอาหาร ตั้งแต่คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน

15.00-17.00 น. เป็นช่วงเวลาทำงานของ "กระเพาะปัสสาวะ" ควรทำให้เหงื่อออก

17.00-19.00 น. เป็นช่วงเวลาทำงานของ "ไต" ควรทำตัวให้สดชื่น

19.00-21.00 น. เป็นช่วงเวลาทำงานของ "เยื่อหุ้มหัวใจ" ควรทำสมาธิ สวดมนต์

21.00-23.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "ระบบความร้อน" ห้ามอาบน้ำเย็น ตากลม ควรทำร่างกายให้อบอุ่น

23.00-01.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "ถุงน้ำดี" ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน สวมชุดนอนผ้าฝ้าย เพราะผ้าสังเคราะห์จะดูดน้ำในร่างกาย โดยถุงน้ำดีทำหน้าที่ในการเก็บสะสมน้ำดีเพื่อช่วย ในการย่อยอาหาร

นาฬิกาชีวิต
นี่มุมมองของ "วีระชัย วาสิกดิลก" แพทย์วิถีไทยแบบธรรมชาติบำบัด ที่ท่านสามารถนำไปใช้ในการดูแลตัวเองเพื่อให้ชีวิตสมดุลและห่างไกลความเจ็บป่วย

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของ มะรุม

มะรุม เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน เช่น ราก จะมีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ เปลือก จะมีรสร้อน ช่วยขับลม ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ เป็นต้น
คุณค่าทางอาหารของมะรุม
มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน

มะรุม
มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ
- วิตามินเอ บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า

- วิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม

- แคลเซียม บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด

- โพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย

- ใยอาหารและพลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย

- น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
มะรุมผลิตภัณฑ์สุขภาพ

แคปซูลมะรุม
ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก

แกงส้มมะรุม
ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของหัวไชเท้า

ไชเท้า มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Raphanus sativus Linn. อยู่ในวงศ์ Crutiferae หัวไชเท้าหรือผักกาดหัว มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน และได้แพร่หลายไปทั่วตามการอพยพย้ายถิ่นของคนจีน นิยมรับประทานเป็นอาหาร ใช้ทำเป็นแกงจืด แกงส้ม ต้มจับฉ่าย หรือเอามาดองเค็ม ตากแห้ง ทำเป็นหัวไชโป๊ แล้วนำมาปรุงเป็นอาหารทานกับข้าวต้มกุ๊ย

หัวไช้เท้า
หัวไชเท้าเป็นอาหารที่ดีมาก ตำราจีนกล่าวว่าไชเท้ามีสรรพคุณในการกระจายสิ่งหมักหมมในร่างกาย ละลายเสมหะ แก้พิษ ลดความดัน ขยายหลอดลมและหลอดเลือด จึงควรเป็นอาหารที่อยู่ในเมนูของคนที่ป่วยเป็นโรคหวัด ไอเสียงแหบแห้ง ท้องขึ้นเนื่องจากอาหารไม่ย่อย คออักเสบเรื้อรัง เป็นสมุนไพรที่มีอยู่ในตำรายาจีน

ประโยชน์หัวไช้เท้า
โดยแนะนำให้คนวัยทองนำหัวไชเท้าดิบมาหั่นซอยเป็นเส้นฝอยทานวันละ 2 ช้อนโต๊ะ หรือมื้อละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง ทั้งนี้ มีความเชื่อว่าจะทำให้ผิวพรรณ ดูเปล่งปลั่งสดใสมีน้ำมีนวล หัวไชเท้ายังช่วยกำจัดพิษ สามารถช่วยให้ปัสสาวะใส ไม่ขุ่น ช่วยชำระล้างผนังกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยย่อย และช่วยทำให้หายใจโล่งขึ้น ที่สำคัญคือเจ้าหัวไชเท้านี่มีสารโปรวิตามินเอ ที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเออยู่สูงมาก หัวไชเท้าจึงเป็นแหล่งวิตามินเอที่หาง่ายและราคาถูก ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่ากลิ่นของหัวไชเท้า สามารถช่วยกระตุ้นน้ำย่อยได้ ดังนั้นในอาหารญี่ปุ่นหลายชนิด จึงใส่หัวไชเท้าขูดฝอยลงในน้ำจิ้มซีอิ้ว หรือหั่นฝอยกินคู่กับปลาดิบเป็นผักเครื่องเคียง

ต้มจืดหัวไช้เท้า
หัวไช้เท้า สามารถนำมาใช้ในการลดรอยฝ้าและกระให้จางลง แบบง่ายๆ โดยเราจะใช้หัวไชเท้า 1 หัว (ขนาดเล็ก) น้ำมะนาวสด 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ นำหัวไชเท้าล้างน้ำให้สะอาด แล้วปอกเปลือก หั่นบางๆ นำไปปั่นให้พอละเอียด ใส่น้ำมะนาวประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วจึงปั่นรวมกันอีกครั้ง วิธีใช้ นำส่วนผสมที่ได้มาทาทั่วผิวหน้า (ยกเว้นรอบดวงตาและปาก) ทิ้งไว้ประมาณ 10 - 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดทำเป็นประจำจะช่วยลดฝ้า และกระให้สีจางลงได้

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

9 เคล็ดลับการต้านหวัด

แม้หลายคนจะคิดว่าเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง เราก็มีโอกาสเป็นหวัดได้เป็นธรรมดา แต่เชื่อไหมคะว่าหากแข็งแรงเต็มร้อยแล้ว ไม่ว่าอากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร หวัดก็ไม่สามารถทำให้เราล้มหมอนนอนเสื่อกันได้ง่าย ๆ เรามาดูแลสุขภาพต้านหวัดด้วยวิธีต่อไปนี้

วิตามินซีจากธรรมชาติ - เคล็ดลับการต้านหวัด
1. นอนหลับให้เพียงพอ
มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการนอนหลับไม่เพียงพอทำให้ จำนวนเซลล์ในร่างกายที่ทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคต่าง ๆ ลดลง จึงควรนอนหลับสนิททุก ๆ วัน

2. ออกกำลังกาย
ชอบออกกำลังกายแบบไหน เลือกได้ตามความชอบและความถนัด แล้วทำอย่างต่อเนื่องวันละครึ่งชั่วโมงช่วยเพิ่มเซลล์ที่ป้องกันโรคภัยไข้ เจ็บได้มากมาย

3. ล้างมือด้วยสบู่
โดยใส่ใจการล้างมือเป็นพิเศษก่อนรับประทานอาหาร หลังกลับนอกบ้าน หลังจากใช้ห้องน้ำสาธารณะ สัมผัสกับสัตว์ และหลังการไอหรือจาม

4. แยกเก็บแปรงสีฟัน
เมื่อมีคนในครอบครัวป่วย ให้แยกเก็บแปรงสีฟันของคนป่วยออกจากของคนอื่นๆ หลังจากหายป่วยแล้ว ให้จุ่มแปรงสีฟันในน้ำเดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค

5. ซักผ้าเช็ดมือ
ผ้าเช็ดมือต้องสะอาดเสมอ แนะนำให้ซักในน้ำร้อนทุก 3-4 วัน โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นหวัดกันมาก

6. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
ช่วยป้องกันอาการป่วยได้ เนื่องจากน้ำทำให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ ในระบบทางเดินหายใจชุ่มชื้น ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคฝังตัว และทำให้ระบบภูมิชีวิตทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

7. เปิดหน้าต่าง เพื่อให้มีอากาศถ่ายเท
ซึ่งทำให้ร่างกายได้รับสารจากธรรมชาติในอากาศไปพร้อม ๆ กับไล่เชื้อโรคที่มีอยู่ด้วย ทำให้ระบบภูมิชีวิตแข็งแรงขึ้น

8. ผ่อนคลาย
การทำสมาธิ หลับตา หายใจลึก ๆ คิดถึงความสุข ช่วยลดความเครียด ทำให้ร่างกายไม่ป่วยง่าย

9. วิตามินซีจากธรรมชาติ
แครอท กีวี ลูกเกด ถั่วเขียว ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ บร็อคโคลี่ ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลีมีสารพฤกษเคมีอย่างวิตามินซีและแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์ด้านสุขภาพของไวน์แดง

การวิจัยพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ในไวน์แดงสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งบางชนิดได้สารเรสเวราทรอล (resveratrol) สามารถลดอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ โดยยับยั้งกระบวนการกลายเป็นมะเร็งของเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ยังพบว่าสารดังกล่าวยังยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในถาดเพาะเชื้อได้ไวน์แดงเป็นเครื่องดื่มซึ่งอุดมด้วยสารชีวภาพจากพืช ได้แก่ สารโพลีฟีนอล (polyphenol) ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ

ประโยชน์ของไวน์แดง
1. ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ :
หนึ่งในผลการศึกษาส่วนใหญ่ของไวน์แดงคือการป้องกันโรคหัวใจ การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าไวน์แดงมีสาร Resveratrol (ที่พบในผิวหนังและเมล็ดองุ่น) ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือด โดยการไปเพิ่ม HDL ("ดี" คอเลสเตอรอล) และเป็นการป้องกันไม่ให้เลือดเกาะกันเป็นก้อน เพราะฉะนั้นการดื่มไวน์แดงหนึ่งแก้ว (สำหรับผู้หญิง) หรือสองแก้ว (สำหรับผู้ชาย) จะทำให้ลดความเสี่ยงที่เกิดโรคหัวใจได้ 30-40 เปอร์เซ็นต์

2. คุณสมบัติป้องกันมะเร็ง :
สาร Reservatrol เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งซึ่งพบได้ในองุ่น ผลราสเบอร์รี ถั่วลิสง และพืชอื่นๆ มีหลักฐานว่า เรสเวราทรอลลดอนุมูลอิสระและลดอัตราการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง รวมทั้งลดการเจริญเติบโตของมะเร็งในถาดเพาะ เชื้อได้ นอกจากนั้นยังลดสารเอ็นเอฟ แคปปา บี (NF kappa B) ซึ่งเป็นโปรตีนซึ่งสร้างโดยระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้น อีกด้วย

3. คุณสมบัติ Anti aging :
หน้าตาของผู้หญิงฝรั่งเศสมีความสวยงามเนื่องจากไวน์แดง เพราะสารต้านอนุมูลอิสระในไวน์แดงช่วยป้องกันร่างกายจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระและจะชะลอกระบวนการชรา ไวน์แดงมีความเข้มข้นของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าโพลีมากกว่า เมื่อเทียบกับน้ำองุ่น งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารของห้องสมุดวิทยาศาสตร์ One (PLoS One) แสดงให้เห็นว่าการดื่มไวน์แดงอาจมีประโยชน์มากมาย เช่น การชะลอความแก่ชรา ช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจ หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม

4. ช่วยย่อย :
อาหารประเภททอด อาหารแปรรูป จะมีสาร malonaldehydes ซึ่งสารเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาทางเดินอาหารและเพิ่มความเป็นพิษของร่างกาย มีการศึกษาพบว่าการดื่มไวน์แดงกับอาหารดังกล่าวช่วยลบล้างสารเหล่านี้ในอาหารได้ถึงร้อยละ 60-70 ดังนั้นความสามารถในการช่วยการทำลายสารเหล่านี้ก็เป็นประโยชน์ในการย่อยอาหาร

5. ช่วยในการจัดการความเครียด :
ไวน์แดงเป็นยากล่อมประสาทชนิดหนึ่ง และสามารถช่วยผู้ที่มีความผิดปกติทางประสาทหรือผู้ที่ประสบความวิตกกังวลต่างๆ และลดความเครียด นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้คุณนอนหลับดีขึ้นอีกด้วย

6. ป้องกันโรคความจำเสื่อม :
นักวิจัยพบว่าไวน์แดงช่วยลดความจำเสื่อมได้ โดยสาร resveratrol ในไวน์แดง มีผลในการป้องกันการเสื่อมของสมอง แต่ไม่ได้ทำการทดสอบในมนุษย์

7. สุขภาพเหงือกและฟัน :
ไวน์แดงมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียในช่องปาก และนอกจากนี้งานวิจัย แสดงให้เห็นว่า สารโพลีฟีน เป็นสารธรรมชาติที่พบในเมล็ดองุ่นและไวน์แดงจะมีคุณสมบัติช่วยในการต้านการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียของเหงือก หรือบอกได้ว่าจะป้องกันเหงือกอักเสบนั่นเอง

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

การดูแลฟันขาว เพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง

ถ้าจะพูดถึงการเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองนั้นคงไม่พ้น การดูแล รูปร่างหน้าตา และที่สำคัญที่ต้องไม่ลืม คือการดูแลใส่ใจสุขภาพปากและฟัน การที่มีฟันขาวสดใส ลมปากสดชื่น นี่แหละที่จะเพิ่มความมั่นใจให้คุณได้ยิ้มกว้าง และสร้างความประทับใจให้กับคนรอบข้างที่ได้เห็นด้วย วันนี้มีเคล็ดลับง่ายๆ เพื่อให้ฟันดูขาวสดใส

สาเหตุ
ฟันคนเราปกติจะมีสีขาวเป็นมันวาว แต่บางคนจะมีฟันเหลือง หรือดำคล้ำ แลดูไม่สวยงาม โดยอาจจะเป็นเพียงบางซี่ หรือทุกๆซี่ก็ได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ฟันคนเราไม่ขาวก็จะมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน คือ

1.การรับประทานอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีสี เป็นประจำ เช่น ชา กาแฟ

2.การสูบบุหรี่

3.การจัดฟัน เนื่องจากแปรงฟันไม่สะอาดพอ จึงทำให้มีคราบอาหาร คราบแบคทีเรีย และหินปูน มาเกาะติดสะสมทีละน้อย ๆ จนเห็นเป็นสีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีดำติดตามซอกฟัน

4.จากการรับประทานยาเตตราซัยคริน ซึ่งการกินยาตัวนี้ จะมีผลต่อสีของฟัน

วิธีการดูแลฟันให้ขาวสะอาด

การแปรงฟัน ทำให้ฟันขาวสดใส
1. การแปรงฟัน คือ วิธีที่ถูกที่สุดในการทำให้ฟันของคุณขาวสดใส วิธีที่แนะนำ คือการแปรงฟันให้สะอาดและทั่วถึง ร่วมกับการใช้แปรงสีฟันที่เหมาะสม ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนช่วยในการลดคราบพลัค และแบคทีเรีย และไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อขูดหินปูนและขัดฟัน ซึ่งการขัดฟันจะไม่ทำให้ฟันบางลง แต่ถ้าเกิดการมีฟันผุก็จัดการให้เรียบร้อย สำหรับฟันหน้าทันตแพทย์จะกรอส่วนที่ผุ มีสีดำ หรือสีเหลืองออก แล้วอุดด้วยวัสดุที่มีสีเหมือนฟัน เท่านี้ ฟันก็จะมีสีขาวสะอาดได้เหมือนปกติ การแปรงฟันที่ถูกต้องและใช้ยาสีฟันที่มีประสิทธิภาพสูงนั้น จะช่วยให้คุณมีฟันขาวสดใส ได้ง่ายๆ ใช้เวลาน้อย และประหยัดด้วย

การฟอกสีฟัน ทำให้ฟันขาวได้ดังใจ
2. การฟอกสีฟัน ถ้าการแปรงฟันไม่ทำให้ฟันขาวได้ดังใจ คุณอาจอยากลองฟอกสีฟันดูบ้างก็ได้ การฟอกสีฟันมีขั้นตอนการทำคือ ทาน้ำยาบริเวณเหงือกเพื่อป้องกันสวนที่อ่อนโยน หลังจากนั้นจึงทาน้ำยาฟอกทีฟัน แล้วกระตุ้นการทำงานด้วยแสงเลเซอร์ หรืออาจจะเป็นแสงสีฟ้า (Blue Light) หรือไม่ก็แสงเย็น (Cold Light) ซึ่งขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่คลินิก และดุลยพินิจของทันตแพทย์ด้วย การฟอกสีฟันช่วยในการขจัดคราบชา กาแฟและบุหรี่ได้

เจลฟอกฟันขาวในท้องตลาด ใช้ในการฟอกสีฟัน และขจัดคราบต่าง ๆ จากภายใน โดยไม่ทำลายเนื้อฟัน มีทั้งชนิดป้ายและใช้คู่กับยาสีฟัน
ข้อดี สีฟันขาวสดใสจากภายในขาวนาน ปลอดภัยต่อเคลือบฟัน ทำซ้ำได้ ข้อควรระวัง ควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีแผลในช่องปาก ผู้ที่ใส่อุปกรณ์จัดฟัน

3. เลือกลิปสติก ให้เป็นลิปสติกบางเฉดก็ทำให้ฟันของคุณดูเหลืองมากขึ้น เช่น สีน้ำตาล หรือสีที่มีสีเหลืองเป็นตัวยืนอย่างพีช คอรัล หรือแดงส้ม ถ้าคุณมองหาเฉดสีแดง ให้ลองใช้สีแดงน้ำเงิน หรืออาจใช้เฉดชมพูอ่อนก็ได้ อย่าลืมใช้ลิปกลอสเพื่อให้ยิ้มของคุณสดใสยิ่งขึ้น

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

สุขภาพน่ารู้ การกินอาหาร

1. การกินคะน้าตาไม่เป็นต้อ

การกินคะน้าตาไม่เป็นต้อ
คะน้าเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด เป็นผักที่อุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีสาร “ ลูทีน ” ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน นอกจากนี้การกินคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอด และเต้านมอีกด้วย

2. การกินเห็ดป้องกันกระดูกพรุน

การกินเห็ดป้องกันกระดูกพรุน
คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าการขาดวิตามินดีและแคลเซียม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุก็อาจเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ล่าสุดนักวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีธาตุทองแดงเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ และการขาดธาตุทองแดงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้อาการกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก ดังนั้นการกินอาหารที่มีธาตุทองแดงมาก เช่น เห็ด ปู กุ้งมังกร หอยนางรม ลูกพรุน ปลาซาร์ดีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น

3. การกินแอปเปิลให้ปอดแข็งแรง

การกินแอปเปิลให้ปอดแข็งแรง
ไม่ว่าจะกินแอปเปิลเขียวหรือแดงก็ดีต่อปอดเป็นที่สุด เพราะแอปเปิลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ “ เคอร์ซีทิน ” สารตัวนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย วิธีการกินแอปเปิลให้ได้สารเคอร์ซีทีนมากที่สุดก็คือ ต้องกินผลสดทั้งเปลือก ซึ่งจะให้ได้รับสาร “ เพกทิน ” จากเปลือกแอปเปิลเพิ่มขึ้นด้วย สารเพกทินมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ส่วนคุณสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักการกินแอปเปิลจะช่วยให้อิ่มนาน ไม่รู้สึกหิว เพราะในแอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีถึง 75 เปอร์เซ็นต์ การกินแอปเปิลสด ได้ประโยชน์มากมาย

4. การกินองุ่นทั้งเมล็ดช่วยชะลอความแก่

การกินองุ่นทั้งเมล็ดช่วยชะลอความแก่
ใครที่อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี เรามีวิธีการชะลอความชราด้วยการกินผลไม้ที่หาง่าย ๆ เช่น องุ่น และต้องเคี้ยวเมล็ดองุ่นด้วย เพราะในเมล็ดองุ่นมีสาร “ โอพีซี ” (oligomeric proanthocyanidin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า องุ่นจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาสุขภาพจากภายใน ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยชะลอความชรา และเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะพอ

การดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจะทำให้สุขภาพดี - ช่วยลดความอ้วนจริงไหม
แท้จริงแล้วการดื่มน้ำมากเกินจำเป็นส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ หากถามนักแสดงหรือนางแบบว่าเคล็ดลับความงามคืออะไร หนึ่งในสิ่งที่เหล่าคนดังจะแนะนำให้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอคือดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เพราะจะทำให้สุขภาพดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกาย การขาดน้ำจากการไดเอ็ทเป็นสาเหตุแห่งอาการท้องผูก

การดื่มน้ำ
แต่ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะเป็นการ“ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ” ซึ่งเรามักจะได้ยินกันว่าต้องดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ถ้าดื่มไม่ได้ตามเป้า นอกจากจะเสี่ยงต่อการมีน้ำหนักเกินหรือผิวหนังเหี่ยวย่นแล้ว ยังทำให้สมองสูญเสียน้ำซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการตั้งสมาธิกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

จากคำเตือนให้ดื่มน้ำมากๆ นี้ส่งผลให้ขวดน้ำขายได้มากเป็นหนึ่งเท่าตัวในประเทศอังกฤษช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และขวดน้ำก็กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่คนอังกฤษส่วนใหญ่มักจะพกติดตัวออกนอกบ้าน สำคัญพอๆ กับกระเป๋าสตางค์และกุญแจบ้าน

อย่างไรก็ตาม แม้การขาดน้ำอาจทำให้ร่างกายได้รับความเสียหาย แต่การได้รับน้ำมากเกินไปก็เป็นอันตรายต่อร่างกายเช่นกัน

หากร่างกายได้รับน้ำมากเกินไปจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการ“ไฮโปแนทรีเมีย”ซึ่งเป็นอาการที่เกลือในร่างกายลดลง ทำให้สมองเต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งนำไปสู่อาการชักและเสียชีวิตในที่สุด แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป อาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เนื่องจากร่างกายมีกระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าการดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารจะช่วยลดน้ำหนัก หรือการที่ร่างกายสูญเสียน้ำเล็กน้อยจะเป็นสาเหตุแห่งความเจ็บไข้ได้ป่วย

ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะเพียงพอต่อร่างกาย
ความต้องการน้ำของร่างกายแตกต่างกันไปในแต่ละคน และแตกต่างกันไปในแต่ละวันอีกด้วย กลุ่มที่ต้องการน้ำมากที่สุดคือเด็กและผู้สูงวัย ส่วนผู้ใหญ่ต้องการน้ำวันละ 20-30 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม เช่นถ้าน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ร่างกายก็จะต้องการน้ำวันละประมาณ 1 ลิตร แต่ไม่ต้องดื่มน้ำให้ครบตามจำนวนที่คำนวณก็ได้ เพราะในอาหาร ผักและผลไม้ที่รับประทานก็มีน้ำเช่นกัน นอกจากนี้การดื่มชา กาแฟ น้ำส้มหรือแม้แต่น้ำอัดลมก็ช่วยเติมน้ำให้ร่างกาย

การดื่มน้ำ - ทำให้สุขภาพดี
หลายคนอาจนึกว่าการกระหายน้ำเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดน้ำ ที่จริงแล้วแค่เป็นตัวบอกว่าระดับน้ำในร่างกายน้อยลงเท่านั้น ยังไม่เป็นอันตราย ไม่ต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อชดเชย แต่ถ้าป่วยต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพราะร่างกายจะขจัดความร้อนด้วยการสร้างเหงื่อ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ จึงต้องการน้ำมากกว่าปกติประมาณ 500 มิลลิลิตรต่ออุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้น1องศาเซลเซียส ซึ่งในสภาพอากาศร้อนหรือหลังออกกำลังกายที่เสียเหงื่อมากก็ต้องชดเชยน้ำให้ร่างกายด้วย

วิธีสังเกตว่าร่างกายขาดน้ำหรือไม่ ดูได้จากสีของปัสสาวะที่ต้องใส ไม่มีสีและปัสสาวะประมาณ 3-4 ครั้งต่อวัน แสดงว่าร่างกายปกติดี แต่หากปัสสาวะมีสีเข้มและปัสสาวะน้อยกว่าวันละ 3 ครั้ง ให้ดื่มน้ำมากๆ เพราะแสดงว่าร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

Coffee Time รู้จักกาแฟให้มากขึ้น

การได้ดื่มด่ำกับกลิ่นหอมกรุ่นและเสน่ห์กลมกล่อมของกาแฟ ที่กลายเป็นศาสตร์และศิลปะน่าหลงใหลและน่าค้นหา

การเก็บเมล็ดกาแฟ ควรบรรจุไว้ในภาชนะปิดสนิท ไม่ให้อากาศและความชื้นเข้าได้ หลีกเลี่ยงการเก็บในตู้เย็น เพราะเมล็ดกาแฟจะดูดซับกลิ่นอาหารเข้าไป เมล็ดกาแฟที่บดแล้วเหมือนน้ำหอมที่เปิดขวดไว้ กลิ่นจะค่อยๆ จางไป อายุการเก็บรักษาจะสั้นกว่า การบดเมื่อชงจะทำให้ได้ความหอมของกาแฟดีกว่า

เมล็ดกาแฟ

เครื่องบดเมล็ดกาแฟ โดยทั่วไปอาจมีราคาสูง ถ้าอยากได้คุณภาพใช้ได้ ราคาไม่สูงมาก แนะนำเครื่องบดมือยี่ห้อ Hario ของประเทศญี่ปุ่นราคาประมาณพันกว่าบาท หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป

เครื่องชงกาแฟ
วิธีการชงกาแฟ ที่เรียกรสกาแฟได้ดีและทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน โดยใช้ฟิลเตอร์กระดาษกรองหรือใช้ถุงผ้า ส่วนการชงเหมือนกัน โดยค่อยๆ รินน้ำจากจุดศูนย์กลางวนเป็นก้นหอยออกมา และระวังไม่ให้น้ำล้นออกนอกภาชนะกรอง

การชงกาแฟทั้ง 2 แบบสามารถปรับบาลานซ์ของรสชาติกาแฟได้มากอย่างในระยะเวลาการรินที่เท่ากัน ถ้าใช้น้ำอุณหภูมิสูงหรือใช้กาแฟที่บดละเอียดมาก จะให้รสชาติกาแฟที่ค่อนข้างเข้ม แสดงกลิ่น รส ได้มากกว่าและสามารถใช้กับกาแฟทุกประเภท ยกเว้นเมล็ดกาแฟที่ระบุบนซองว่า Espresso ที่ต้องใช้เครื่องชงเอสเปรสโซในการทำเท่านั้น

คัดสรรน้ำสำหรับการชงกาแฟ ควรเลือกน้ำกรองที่ไม่มีคลอรีน จะให้รสชาติกาแฟที่ดีกว่า อุณหภูมิน้ำควรอยู่ประมาณ 88 - 96 องศาเซลเซียส คือไม่ต้มเดือดจัดแล้วชงทันที ให้เทใส่กาก่อนจึงเริ่มชง ถ้าอยากให้น้ำเย็นลงสักหน่อย อาจทิ้งไว้ 1 นาทีจึงค่อยรินชง
แยกแยะรสชาติ โดยปกติรสชาติกาแฟจะมีรสเปรี้ยว หวาน เค็ม ขม (รสเค็มเกิดจากเมล็ดกาแฟคุณภาพไม่ค่อยดี) รสชาติแรก ที่ได้รับเป็นรสขม รสเปรี้ยวทำให้รู้สึกสดชื่น เหมาะสำหรับเรียกความกระปรี้กระเปร่ายามเช้า ซึ่งระดับการรับรสเปรี้ยวของแต่ละคนไม่เท่ากัน ถ้าใช้กาแฟคั่วเข้ม ต้องรินน้ำอุณหภูมิไม่สูงมากจึงให้รสกาแฟที่ออกรสเปรี้ยวมากกว่า ถ้าเป็นกาแฟคั่วอ่อนจะมีรสเปรี้ยวอยู่ในตัวสูงอยู่แล้ว ต้องใช้น้ำอุณหภูมิสูงกว่า

ความเข้มข้น ความเข้มของกาแฟไม่ได้หมายความว่าต้องออกรสขมเสมอไป แต่อาจหมายถึงกลิ่นของเมล็ดกาแฟ โดยธรรมชาติของกาแฟแต่ละที่จะมีเอกลักษณ์การให้กลิ่น (aroma) ต่างกันไป เช่นประเทศโคลอมเบียให้กลิ่นดอกไม้ ประเทศอินโดนีเซียให้กลิ่นเครื่องเทศ หรืออาจมีกลิ่นไอดินเล็กน้อย ชื่นชอบแบบไหนก็สุขได้ต่างกันไป