หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพร่างกาย

ร่างกายเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากไม่หมั่นสังเกต คุณอาจไม่รู้ว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงแข็งแรงขึ้น หรือย่ำแย่ลง สัญญาณเตือนต่อไปนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณหันมาทบทวน และปรับปรุงตัวเองขนานใหญ่ ก่อนที่ปัญหาเล็กๆ จะลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่

ปวดหัวเป็นประจำ
อาการปวดหัวเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่ฟ้องร่างกายว่าคุณกำลังอยู่ในภาวะไม่ปกติ สาเหตุหลักมาจากความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออาจเกิดจากการดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์มากเกินไป การนวดศีรษะทุกวันก่อนเข้านอนจะช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น โดยใช้นิ้วชี้กดที่หัวคิ้ว นวดคลึงและกดไปตามคิ้วจนถึงขมับ จากนั้นใช้นิ้วทั้งสิบนิ้วกด และนวดคลึงหนังศีรษะให้ทั่ว

การดูแลสุขภาพร่างกาย
บางครั้งอาการปวดศีรษะไมเกรนอาจเกิดจากการที่เส้นเลือดส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ คุณจึงควรบริหารร่างกายด้วยการก้มศีรษะให้คางจรดหน้าอก ค่อยๆ หมุนเป็นวงกลมจนกลับมาที่เดิม แล้วเวียนกลับไปอีกทางหนึ่ง เพื่อให้เลือดไหลเวียนจากต้นคอ หนังศีรษะ และสมองได้อย่างทั่วถึง แต่หากมีอาการปวดรุนแรงพร้อมกับมีไข้ อาเจียน หรือไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจจะเป็นอาการทางสมอง

ปวดต้นคอ
มักเป็นอาการที่ต่อเนื่องมาจากความเครียด หรืออาจเกิดจากอิริยาบถที่ไม่ถูกต้อง เช่น นั่งขับรถนานๆ โดยไม่มีหมอนรองต้นคอ นอนหลับบนที่นอนนุ่ม ยกของหนักเกินไป

การนวดต้นคอ และไหล่จะช่วยบรรเทาอาการปวดให้ดีขึ้น แต่ควรทำร่วมกับการปรับท่านั่ง และนอนให้ถูกต้องด้วย ที่นอนที่ดีต้องแข็ง นอนแล้วไม่ยุบเป็นแอ่ง หรือหากที่นอนมีความนุ่ม ให้เลือกใช้หมอนใบเล็กหนุนหลังเอาไว้ และมีหมอนข้างสำหรับวางขา เพื่อรักษาแนวกระดูกสันหลังเอาไว้ให้ตรงเป็นแนวเดียวกัน

ส่วนเก้าอี้ที่ดีจะต่างจากที่นอน คือยิ่งนุ่มมากเท่าไร จะยิ่งดีมากเท่านั้น เพราะความนุ่มจะช่วยให้น้ำหนักกระจายไปได้ทั่วไม่ตกอยู่บริเวณสะโพกที่เดียว หากเป็นไปได้ควรเลือกเก้าอี้ให้เหมาะกับรูปร่างของแต่ละคน และมีพนักพิงเพื่อใช้เอนหลังพักผ่อนสำหรับลดอาการปวดเกร็งที่ต้นคอ

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับโรคสิว

นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังกล่าวว่า "เนื่องจากโรคสิวเป็นโรคที่พบบ่อยและก่อความกังวลให้แก่ผู้ป่วย ผู้ป่วยมักมีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับโรคสิว ทำให้การรักษาไม่ได้ผล

ความเชื่อที่ผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคสิว มีดังนี้
1. เชื่อว่าฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเป็นสาเหตุของสิว จึงล้างหน้าฟอกสบู่บ่อยๆ ความเชื่อนี้ทำให้ผู้เป็นสิวล้างหน้าบ่อยเกินไป และใช้สบู่ที่แรงหรือสบู่ยา ทำให้หน้าอักเสบ ระคายเคือง และสิวกำเริบขึ้น

โรคสิว
2. เชื่อว่ากินช็อกโกแลตแล้วทำให้สิวขึ้น ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าอาหารพวกช็อกโกแลต มันฝรั่ง ถั่วทอด พิซซ่า อาหารมันๆ น้ำอัดลม หรือไอศกรีม กระตุ้นให้สิวเกิดขึ้น
อาหารพวกไอศกรีมและนมไม่ทำให้สิวกำเริบ ยกเว้นกรณีผู้ที่เป็นสิวอักเสบและรักษาโดยกินยากลุ่มเตตราไซคลีน ไม่ควรดื่มนมภายในเวลา 1 ชั่วโมงครึ่งก่อน หรือ 2 ชั่วโมงหลังกินยา เพราะแคลเซียมในนมขัดขวางการดูดซึมของยา

3. เชื่อว่าสิวเป็นแค่เรื่องความงาม ไม่ได้เป็นโรคผิวหนัง ก็เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะสิวที่รุนแรงหากปล่อยให้หายเองจะทิ้งแผลเป็นอย่างมาก มีงานวิจัยชี้ว่าแผลเป็นเหล่านี้ส่งผลเสียทางจิตใจอย่างชัดเจน พบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคสิวเรื้อรัง ร้อยละ 44 เกิดความกังวล และร้อยละ 18 มีอารมณ์ซึมเศร้า

4. เชื่อว่าแสงแดดทำให้สิวดีขึ้น แสงแดดอาจทำให้ดูเหมือนว่าสิวดีขึ้น เพราะแสงแดดทำให้ผิวไหม้แดงและผิวคล้ำลง ช่วยบดบังรอยแดงรอยดำจากสิวอักเสบ แต่แท้จริงแล้วนอกจากแสงแดดเป็นอันตรายต่อผิวหนังแล้ว แสงแดดยังทำให้ผิวระคายเคืองและสิวกำเริบ

5. เชื่อว่าการรักษาสิวนั้นยิ่งใช้ยาแรงยิ่งได้ผลดี วัยรุ่นที่เป็นสิวเชื่อว่าการรักษาสิวนั้นยิ่งใช้ยาแรงยิ่งได้ผลดี ที่จริงแล้วถ้ายาความเข้มข้นต่ำได้ผลดีก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาแรงขึ้น นอกจากจะเสียเงินมากขึ้นโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจเกิดผลแทรกซ้อน เช่น การระคายเคืองมากขึ้น

ทั้งนี้ การรักษาสิวที่ถูกต้องนั้น ผู้ป่วยควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ไม่ควรไปหลงเชื่อคำโฆษณาเกินจริงของผลิตภัณฑ์ที่ถูกผลิตออกมาเพื่อผลในทางการค้า

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ชาเขียวเพื่อสุขภาพ

ชาเขียว คือชาที่ไม่ผ่านกระบวนการหมัก ในระยะเวลาสั้น การผลิตชาเขียว ทำโดยนำใบชาที่เก็บมาได้ มาผ่านไอน้ำหรือความร้อน เพื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ทันที จากนั้นนำไปกลิ้งด้วยลูกกลิ้งและทำให้แห้งอย่างรวดเร็ว ใบชาที่ได้จึงยังคงมีสีเขียว ในชาเขียวจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันรอยเหี่ยวย่น สีผิวด่างดำ และแห้งกร้าน

ประโยชน์จากชาเขียว
ประโยชน์ที่ได้จากชาเขียวไม่น้อยไปกว่าชาอูหลงกว่ากันเท่าไรนัก โดยทั่วไปชาเขียวจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย ทำให้สมองสดชื่นแจ่มใส ช่วยขับปัสสาวะ ขยายหลอดลม

สารแทนนินในใบชาเขียวนั้นเองยังสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้ (โดยการแช่ใบชาไว้นานๆเพื่อให้สารแทนนิน จากชาเขียวออกมาเพียงพอที่จะทำให้อาการท้องเสียลดลง) โดยทั่วไปจะวิธีชงชาจะไม่นิยมแช่ใบชาทิ้งไว้นานๆ เพราะจะทำให้ท้องผูก ซึ่งหลายความเชื่อที่ไม่อยากลองชิมชามากๆ คงเป็นเพราะกลัวท้องผูก สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ชาเขียวสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหัวใจ และผนังหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นปกติ

ชาเขียว
สารต้านอนุมูลอิสระในใบชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็ง สามารถยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งได้ สำหรับผู้ชายการดื่มชาเขียวจะป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก และสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองยังสามารถช่วยให้ผู้ดื่มชาเขียวสามารถชะลอความชรา ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามิน C 100 เท่า และสูงกว่า วิตามิน E 25 เท่า ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ในใบชาเขียวมีสารฟลูออไรด์สูง ซึ่งแร่ธาตุชนิดนี้มีส่วนทำให้กระดูกและฟันให้แข็งแรง โดยชาสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียซึ่งทำให้ฟันผุได้ถึง 95% ป้องกันฟันผุโดยช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดหินปูน รวมทั้งช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นปากอีกด้วย

ช่วยลดระดับ LDL คลอเลสเตอรอล ในหลอดเลือด และช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยดูดซับน้ำตาลในลำไส้เล็ก เร่งการเผาผลาญแคลอรี่ จึงเป็นส่วนช่วยให้สามารถควบคุมน้ำหนักสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การออกกำลังกายมีข้อดีอย่างไร

ข้อดีของการออกกำลังกาย
1. ช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง
สมองก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่น ๆ ที่มีการเสื่อมลงตามวัย แต่การออกกำลังกายช่วยชะลอความเสื่อมของสมองได้ ทำให้สามารถคิดและจดจำได้ดีกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายนอกจากนี้การออกกำลังเป็นประจำ ยังทำให้ดูกระฉับกระเฉง มีสมาธิในการเรียนรู้ได้ดีกว่า

2. ทำให้กระดูกแข็งแรงหนาขึ้น
การกินแคลเซียมเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ควรอออกกำลังกายควบคู่ไปกับการกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง

การออกกำลังกาย
3. ทำให้ผิวสวย
การออกกำลังกายจะช่วยนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายได้มากขึ้น ยิ่งร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้นเพียงใด ก็จะยิ่งช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระได้มากขึ้นเท่านั้น จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้น

4. ลดความเครียด
การออกกำลังกาย ช่วยลดความวิตกกังวล ผ่อนคลายความเครียดได้ เนื่องจากในระหว่างการออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์หรือสารแห่งความสุข ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น นอกจากนี้การที่ร่างกายได้เคลื่อนไหว จิตใจก็ได้เคลื่อนไหวไปด้วย ทำให้ไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่กังวลอยู่ ส่วนการออกกำลังกายแต่ละชนิด มีผลต่อสมองต่างกันการออกกำลังกายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการทำสมาธิ เช่น โยคะ หรือไทเก๊ก จะช่วยผ่อนคลายความเครียดในสมองได้มากกว่า การออกกำลังกายประเภทที่ต้องออกแรงมากๆ

5. ช่วยผ่อนคลายภาวะการปวดประจำเดือน
วิธีธรรมชาติที่ช่วยรักษาอาการปวดท้องเมนได้ดีที่สุด คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ว่ายน้ำ หรือแอโรบิค ถ้าไม่มีเวลาก็ออกกำลังง่าย ๆ ด้วย การซิท-อัพตอนเช้าก็ได้ ยิ่งใกล้รอบเดือน ก็ยิ่งควรซิท-อัพไว้ล่วงหน้า เพราะจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นและช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณมดลูกมีความยืดหยุ่นทำงานได้ดีขึ้น

6. ลดอาการท้องผูก
การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินเร็ว ๆ การวิ่งเหยาะ การว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ระบบขับถ่ายได้ระบายของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย
มากขึ้น

7. ทำให้หลับง่ายขึ้น
การออกกำลังกายในช่วงเย็น ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการออกกำลังกายมีผลโดยตรงกับระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

8. ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนแข็งแรง ทำให้หุ่นกระชับสมส่วน

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การล้างหน้าอย่างถูกวิธี

การทำความสะอาดผิวหน้า ขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับลักษณะผิวของตัวเองโดยที่สามารถตรวจสอบลักษณะผิวพรรณของคุณได้ตามศูนย์ความงามทั่วไป

1. ผิวมัน เป็นผิวที่มักมีน้ำมันเคลือบผิวมากทั่วหน้า เกิดสิวง่าย รูขุมขนใหญ่ชัดเจน ควรใช้ผลิตภัณท์ทำความสะอาดผิวที่ทำให้ผิวแห้งลง อย่างที่เป็นสบู่ก้อนหรือโฟม ก็จะดีกว่าเจลใสหรือน้ำเปล่า หลังล้างหน้าแล้ว การเช็ดทำความสะอาดด้วย Oil control หรือ Toner ก็จะช่วยให้การทำความสะอาดผิวหมดจดดียิ่งขึ้น

การล้างหน้าให้ถูกวิธี
2. ผิวผสม เป็นผิวที่มักมีน้ำมันเคลือบเยอะบริเวณทีโซน (หน้าผาก จมูก หรือคาง) แต่บริเวณแก้มกลับแห้งตึง รูขุมขนกว้างแต่ไม่เห็นชัดมาก ควรเลือกผลิตภัณท์ทำความสะอาดผิวแบบที่ไม่ลดความมันมากเกินไป เช่น แบบเจลใส โดยหลังล้างหน้าเลือก Oil control หรือ Toner เช็ดทำความสะอาดบริเวณทีโซน

3. ผิวธรรมดา เป็นผิวที่มักมีน้ำมันเคลือบในปริมาณที่พอเหมาะ รูขุมขนเห็นไม่ชัด ควรเลือกผลิตภัณท์ทำความสะอาดผิวแบบอ่อนๆ เช่น เจลใส หลังล้างหน้าใช้ Lotion เช็ดผิวเป็นครั้งคราว

4. ผิวแห้ง เป็นผิวที่ขาดน้ำมันเคลือบผิว บางรายอาจลอกเป็นขุยๆ รูขุมขนเล็ก มักจะเป็นผิวที่แพ้ง่าย คนผิวแห้งจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณท์ทำความสะอาดผิว หรือ Lotion โดยไม่จำเป็น ใช้แค่น้ำเปล่าล้างหน้าก็พอค่ะ

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การดูแลผิวในหน้าหนาว

ลมหนาวแรกกําลังพัดมาให้เย็นชื่นใจ แสนสบายตัว แต่อย่ามัวปล่อยตัวไปกับอากาศเย็น ๆ เพราะผิวพรรณที่เคยดูแลมาตลอดอาจเสียไปง่าย ๆ โดยเฉพาะกับแสงแดดตัวร้ายที่ยังแฝงตัวอยู่กับลมหนาวตลอดเวลา งานนี้ "นพ.วัชรพงศ์ ชูศรี" แพทย์ประจําโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้ให้คําแนะนําเรื่องการปกป้องผิวจากแสงแดดในหน้าหนาวให้สาว ๆ ได้อวดผิวสวยตลอด

"การดูแลผิวหน้าหนาวนี้ นอกจากการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นแล้ว จะต้องไม่ละเลยการปกป้องผิวจากแสงแดดเช่นเดิม ข้อเท็จจริงแล้วแสงแดดนั้นให้ทั้งคุณและโทษ ข้อดีคือ ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย ช่วยในการมองเห็น ช่วยในการสังเคราะห์วิตามินดี แต่ควรเป็นเป็นแสงแดดอ่อน ๆ ในช่วงเช้า หากถูกแดดจัดหรือผิว สะสมแดดเป็นเวลานานโดยขาดการป้องกัน ก็จะให้ข้อเสียคือ ผิวไหม้ แดง เกิดกระ ฝ้า ริ้วรอย แก่ก่อนวัย หรือร้ายแรงถึงขั้นเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง"

การดูแลผิว
การป้องกันผิวจากแสงแดดง่าย ๆ คือการใช้ผลิต ภัณฑ์กันแดดที่ปกป้องทั้งรังสียูวีเอ และยูวีบี, ดูค่า SPF (Sun Protection Factor) หรือค่าที่บ่งบอกการป้องกันแดดได้ จํานวนกี่เท่าของผิวปกติ ควรเลือกที่สูงพอเหมาะกับการใช้ชีวิตและกิจกรรม เช่น ทํางานออฟฟิศ ไม่ค่อยถูกแดด เลือกประมาณ SPF 15-20

ส่วนนักกีฬาที่เล่นกลางแจ้ง เลือกประ มาณ SPF 30-50 นอกจากนี้ยังควรมีคุณสมบัติในการกันน้ำ กันเหงื่อ หรือปราศจากน้ำหอมสําหรับคนที่ผิวแพ้ง่าย ภายในผลิตภัณฑ์กัน แดดมักมีส่วนประกอบพวกสารอินทรีย์ เช่น ซิงค์ หากมีมากเกินไปก็จะทําให้ใบหน้าขาววอก และสารอนินทรีย์ เช่น น้ำมัน ซึ่งจะเคลือบอยู่บนผิว มันมากเกินไปก็อาจทําให้เกิดผื่นแพ้ เสี่ยงต่อการเกิดสิว

แต่สมัยนี้มีหลายเนื้อให้เลือกทั้งแบบครีม แบบโลชั่น หรือแบบฟลูอิด ซึ่งมีน้ำมันน้อยกว่า มีความบางเบากว่า ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะ นอกจากนี้ บางตัวยังมีผสมพวกวิตามินอี โปรวิตามิน บี 5 อโลเวรา ที่ช่วยบํารุงผิวพร้อมปกป้องรังสียูวีไปในตัว เพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้นมากกว่าการป้องกันแสงแดด จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดให้เป็นนิสัย และหลีกเลี่ยงแสงแดดช่วงแดดจัด และปกป้องด้วยวิธีอื่นช่วย เช่น สวมใส่เสื้อผ้ามิดชิด, กางร่ม, ใส่หมวก, ใส่แว่นตากันแดด เป็นต้น

ปกป้องผิวให้ห่างไกลจากแสงแดดและรังสียูวีกันให้เป็นนิสัย เพื่อสุขภาพผิวที่ดี ไม่แก่ก่อนวัย

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

5 วิธีกินอาหารมังสวิรัติ

คนทั่วโลกไม่น้อยเห็นพิษภัยของการกินเนื้อและไขมันสัตว์มากเกิน ส่วนหนึ่งพยายามกินพืชผักมากขึ้น…กินเนื้อน้อยลง อีกส่วนหนึ่งหันไปกินอาหารมังสวิรัติ

อ.นพ. บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล แนะนำแนวทางการกินเจและมังสวิรัติให้ได้ผลดีกับสุขภาพไว้(โปรดดูใน “แหล่งที่มา” ข้างทัาย) ขอนำบางส่วนมาเล่าสู่กันฟัง 5 วิธีได้แก่

1. กินข้าวกล้อง
ข้าวกล้องมีสารอาหารมากกว่าข้าวขาว(ข้าวที่ขัดสีเอาจมูกข้าว และรำข้าวออก) เป็นแหล่งของวิตะมิน (เช่น บีหนึ่ง อี ฯลฯ) มีกากใย มีโปรตีนพอสมควร (1 ทัพพีมีโปรตีน 7.5 กรัม) และมีไขมันชนิดดี (น้ำมันรำข้าว)

ถั่วและธัญพืช
2. กินถั่วและธัญพืชหลายชนิดสลับกัน
อาหารจากพืชหลายชนิดมีโปรตีนสูง แต่ขาดสมดุลเมื่อกินเพียงชนิดเดียว การกินอาหารมังสวิรัติแบบ “สมดุล (balanced)” โดยกินอาหารหลายๆ ชนิดในมื้อเดียวกันช่วยให้ได้โปรตีนคุณภาพสูง

หญิงมีครรภ์นั้นควรจะกินนมถั่วเหลืองวันละ 2 แก้ว และเต้าหู้ 1 ขีด เพื่อเสริมโปรตีน

3. กินงาดำ
งาดำคั่ว 100 กรัมมีแคลเซียม 1,452 มก. (นม 100 กรัมมีแคลเซียม 118 มก.) ถ้ากินงาดำคั่ว 3 ช้อนโต๊ะร่วมกับเต้าหู้ขาว 1 แผ่นจะได้แคลเซียม 900 มก. เพียงพอสำหรับคนทั่วไป

4. กินผักสด
ผักสดมีสารอาหารหลายชนิด นอกจากนั้นผักหลายชนิดยังมีธาตุเหล็กมากได้แก่ กระถิน ผักบุ้งแดง ผักบุ้งจีน ผักผำ กุยช่าย ผักชีลาว มะเขือพวง และถั่วงอก ธาตุเหล็กช่วยป้องกันโรคเลือดจาง

5. กินวิตะมินบี 12
วิตะมินบี 12 มีในธัญพืช (เช่น ข้าวกล้อง ฯลฯ) และเต้าเจี้ยวหมัก

การกินวิตะมินบี 12 เสริม(เม็ดละ 100 ไมโครกรัม)ช่วยท่านได้ โดยนับเวลาจากปีที่เริ่มกินมังสวิรัติ > 1-10 ปีแรกไม่ต้องกิน 10-20 ปีกิน 1 เม็ด/สัปดาห์ > 20-30 ปีกิน 2 เม็ด/สัปดาห์ > 30-40 ปีกิน 3 เม็ด/สัปดาห์ > เพิ่ม 1 เม็ด/สัปดาห์ทุกๆ สิบปี

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการพักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนที่ดีที่สุด คือการนอนหลับ หากนอนหลับไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับบ่อยๆ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

เมื่อคุณนอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ
การอดนอนบ่อยๆ มีผลต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อระบบภูมิคุ้มกันแย่ลง จึงไม่สามารถกำจัดแบคทีเรียได้ และก่อให้เกิดโรคร้ายแรงๆ ทั้งยังส่งผลเสียต่อสภาพผิวพรรณอีกด้วย

- สูญเสียโอกาสที่ร่างกายจะหลั่งโกร๊ธ ฮอร์โมน (Growth Hormone) ในขณะหลับ ซึ่งโกร๊ธ ฮอร์โมนจะช่วยให้คุณดูอ่อนเยาวน์ สร้างสมดุลระบบการเผาผลาญอาหาร และซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ดังนั้น หากขาดฮอร์โมนชนิดนี้ ผิวหนังจะหย่อนคล้อยและเหี่ยวย่น

เทคนิคการพักผ่อนให้เพียงพอ
- ระบบภูมิคุ้มกันแย่ลง ทำให้ไม่สามารถกำจัดแบคทีเรียได้ ก่อให้เกิดโรคร้ายแรงต่างๆ

- ระบบการย่อยผิดปกติ โดยร่างกายจะต้องใช้เวลามากขึ้นถึง 40 เปอร์เซนต์เพื่อจัดการกับระดับน้ำตาลในเลือดหลังกินคาร์โบไฮเดรต การมีระดับน้ำตาลสูงค้างในเลือดนานๆ จะทำให้แก่เร็ว

- หากอดนอน 1 คืน เซลล์ที่เป็นป้อมปราการต้านเนื้องอกจะอ่อนแอลงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็ง ทั้งยังทำให้ความจำและการทำงานของสมองแย่ลง

- หากอดนอนนาน 1 สัปดาห์ (กรณีนอนวันละ 4 ชั่วโมงโดยประมาณ) ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นในการควบคุมปริมาณกล้ามเนื้อและไขมันน้อยลง ทำให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น

อาหารที่ช่วยให้คุณนอนหลับสบาย
ในแต่ละวันควรได้รับคาร์โบไฮเดรตชนิดดีราว 60-65 เปอร์เซนต์ จากมันเทศ เผือก กลอย ถั่วต่างๆ ผลไม้ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต และผลิตภัณฑ์โฮลเกรนต่างๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายผลิตเซโรโทนิน ที่ทำให้หลับสบาย การดื่มนมอุ่นๆ ก็ช่วยให้หลับง่ายๆ เช่นกัน การวิจัยพบว่า เมลาโทนิน (Melatonin) ที่มีในนมวัว ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น

สำหรับคนนอนหลับยาก ควรงดกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต ขนมขบเคี้ยว และทอฟฟี่ เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว ทำให้นอนหลับได้ยาก แนะนำให้ดื่มชาคาโมมายด์อุ่นๆ ก่อนนอน เพื่อทำให้ใจสงบ และหลับง่าย

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วิธีรักษาหุ่นสวยโดยไม่ต้องอดอาหาร

การวิจัยจากหลากหลายสถาบันแสดงให้เห็นว่าการอดมื้อกินมื้อหรือการโหมอดอาหารไม่ใช่ทางเลือกที่ดีถ้าคุณอยากจะควบคุมน้ำหนัก เพราะทันทีที่ร่างกายขาดอาหารก็จะส่งผลไปที่สมองและจะทำให้เรารู้สึกว่าครั้งต่อไปต้องรับประทานให้มากขึ้น ซึ่งผลกระทบเหล่านี้จะทำลายแผนการดีๆที่คุณวางไว้เพื่อรักษาหุ่นสวยของคุณ ลองพบกับวิธีใหม่ๆที่ทำให้คุณรักษารูปร่างในฝันไว้ได้ตลอดไป

1. รับประทานอาหารเช้าที่ดี มีประโยชน์
อาหารเช้ามีบทบาทสำคัญในการเร่งอัตราการเผาผลาญของร่างกาย ที่ทำงานอย่างช้าๆมาตลอดคืน ดังนั้นอาหารเช้าจึงเป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุดของวัน การวิจัยต่อเนื่องครั้งหนึ่งพบว่าในระยะเวลาห้าปีกลุ่มผู้หญิงและผู้ชายที่รับประทานอาหารเช้าเป็นมื้อใหญ่ที่สุดเป็นกลุ่มคนที่มีน้ำหนักตัวน้อยที่สุด แม้ว่าปริมาณการทานอาหารต่อวันของคนกลุ่มนี้จะมากกว่ากลุ่มอื่น

เราควรรับประทานอาหารเช้าในปริมาณเพียงพอที่จะทำให้รู้สึกอิ่มจนถึงเที่ยง เคล็ดลับก็คือคุณควรเพิ่มอาหารประเภทโปรตีนในมื้อเช้าของคุณ เช่น ไข่หรือเบคอน (หรือทั้งสองอย่าง) เพื่อให้คุณมีพลังงานไว้ใช้ตลอดช่วงเช้าและไม่ทำให้คุณรู้สึกหิวบ่อยๆตลอดทั้งวัน

การดูแลสุขภาพ
2. เพิ่มปริมาณโปรตีนในมื้อกลางวัน
อาหารกลางวันคืออาหารมื้อหลักของวัน ดังนั้นอย่าเสียวลาไปกินแซนวิชชิ้นเล็กๆเลย ทานอาหารกลางวันให้เต็มที่เพราะช่วงสิบโมงเช้าถึงบ่ายสองโมงเป็นช่วงเวลาที่ระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด อาหารที่ทานเข้าไปจึงถูกย่อยและดูดซึมได้ดีที่สุด

3. ไม่ทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตหลังห้าโมงเย็น
เป็นที่รู้กันว่าระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายจะทำงานช้าลงในเวลาเย็นและร่างกายจะเอาพลังงานที่ไม่ได้ถูกเผาผลาญไปเก็บไว้เป็นไขมันส่วนเกิน สาวๆบางคนบอกว่าการรักษารูปร่างเป็นไปได้ง่ายขึ้น ถ้าพวกเธองดอาหารจำพวกแป้งในมื้อค่ำ ดังนั้นถ้าคุณไม่รับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงตอนเย็นก็เท่ากับว่าคุณได้ควบคุมปริมาณพลังงานที่ร่างกายได้รับในแต่ละวันไปในตัว คุณก็จะมีสัดส่วนที่สวยงามได้โดยไม่ต้องพยายามอะไรมาก

4. ทานอาหารมื้อเย็นให้น้อยลง
มื้อเย็นควรเป็นมื้ออาหารที่เล็กที่สุดของวัน แม้โดยปกติแล้วมื้อเย็นเป็นมื้อที่คนทั่วไปมีแนวโน้มที่จะรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงเช่นเค้ก หรือคุ้กกี้เพราะความเบื่อหรือเหนื่อย ดังนั้นการงดอาหารจำพวกแป้งจะทำให้เราเว้นของพวกนี้ไปโดยอัตโนมัติ ในทางตรงกันข้าคุณควรทานอาหารที่มีโปรตีนสูงให้มากขึ้นเพื่อให้รู้สึกอิ่มท้อง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณไม่ควรทานอาหารมื้อค่ำช้าเกินไปเพื่อให้ร่างกายมีเวลาย่อยอาหารก่อนเข้านอน คุณจะนอนหลับสนิทและรู้สึกสดชื่นยามตื่นตอนเช้า

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของ โกจิเบอร์รี่

ผลไม้มหัศจรรย์ โกจิเบอร์รี่ หรือเก๋ากี้เป็นสมุนไพรจีนที่มีประโยชน์มากมาย อุดมไปด้วยวิตามินบี ซี และอี มีส่วนสำคัญในการบำรุงโลหิต สายตา ต้านอนุมูลอิสระ และสามารถชะลอความแก่ได้ด้วย

เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า ทําไมดาวจรัสฟ้าแห่งวงการมายาฮอลลีวู้ดหลายๆ คนถึงไม่ยอม แก่ลงเลย ไม่ว่าจะเจอสักกี่ปีก็เหมือนหยุดอายุผิวให้คงอ่อนเยาว์ กระจ่างใสได้ตลอดเวลา เคล็ดลับของพวกเธออยู่ที่ผลไม้สีแดงลูกเล็กๆ อย่าง “ผลโกจิเบอร์รี่” ที่เรียกได้ว่าจิ๋วแต่แจ๋ว เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าของ “สารแอนติออกซิแดนท์”

โกจิเบอร์รี่ (Goji Berry)
ผลโกจิเบอร์รี่” เป็นผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในแถบเทือกเขาหิมาลัย จึงไม่ใช่เรื่อง แปลกหากคุณไม่เคยได้ยินชื่อของโกจิเบอร์รี่มาก่อน เพราะถึงแม้ว่าผลไม้ดังกล่าวจะเป็นยาโบราณที่สําคัญ ที่ใช้ในประเทศเอเชียมาหลายชั่วอายุคนก็ตาม แต่ความลับด้านประโยชน์ทางโภชนาการของผลดังกล่าวยังคงเป็นความลับที่ชาวโลกส่วนมากยังไม่ทราบ

ย้อนไป 4,000 ปี ก่อนคริสตกาล นักสมุน-ไพรชาวหิมาลายันได้ค้นพบความลับที่มีค่ามากที่สุดคือผลโกจิเบอร์รี่ท้องถิ่น ซึ่งต่อมาได้รับการถ่ายทอดสู่นักปรุงยาชาวจีน ทิเบต และอินเดีย จากการค้นคว้าและวิจัยของ Dr. Earl Mindell ค้นพบว่าผลโกจิเบอร์รี่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสารแอนติออกซิแดนท์ในปริมาณมากถึง 25,300 (ในขณะที่ลูกพรุนซึ่งมีสารแอนติ-ออกซิแดนท์เป็นลําดับที่ 2 มีเพียง 5,700 ORAC เท่านั้น) โดยสารออกซิแดนท์ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อแก่ตัวลงเป็นสาเหตุสําคัญของความแก่ก่อนวัยอันควร

ผลโกจิเบอร์รี่” แต่ละลูกประกอบด้วยกรดอะมิโน 19 ชนิด ธาตุอาหาร 21 ชนิด มีโปรตีนมากกว่าโฮลวีท มีสารแอนติออกซิแดนท์คาโรทินอยด์อีกจํานวนมาก รวมทั้งวิตามินซีที่มีระดับสูงกว่าผลส้ม ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโกจิเบอร์รี่ ซึ่งเอนไซด์ของผู้หญิงไทยที่พบว่าผิวอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนาติดอันดับต้นๆ และร้อยละ 85 ของผู้หญิงเชื่อว่าปัญหาผิวสามารถชะลอและ ป้องกันได้

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประโยชน์จากแครอท

แครอท จะมีลักษณะเป็นหัวยาวๆ สีส้มขึ้นอยู่ใต้ดิน ในประเทศไทยมักนิยมปลูกในภาคเหนือซึ่งมีอากาศเย็น เช่น จังหวัดเชียงใหม่ ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ก็เก็บมารับประทานได้ หัวแครอทจะอยู่ใต้ผิวดิน เช่นเดียวกับหัวไชเท้า จะมีใบสีเขียวโผล่ขึ้นมา สังเกตว่าถ้าใบมีลักษณะกลมรี นั่นคือ หัวแครอทพร้อมบริโภคได้ สาเหตุที่ตาม ท้องตลาดต้องเด็ดใบที่หัวแครอททิ้ง นั่นเป็นเพราะใบของมันมีการคายน้ำ ซึ่งจะทำให้หัวแครอท ไม่สด อยู่ได้ไม่นานและไม่หอม แครอทที่ดีจะปลูกที่ประเทศออสเตรเลีย จะมีรสชาติหอม หวาน และกรอบ แต่จะมีราคาสูง

แครอท
แครอทอุดมไปด้วยวิตามินเอ และเกลือแร่ วิตามินเอเอาไว้ใช้ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวและ เนื้อเยื่อ ช่วยยับยั้งความเสื่อมของ อวัยวะสำคัญของร่างกาย มีความเชื่อว่า แครอทช่วยรักษา โรคมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรค เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤษ์ อัมพาต ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก และยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน เร่งการสร้างเซลล์ในแผลผ่าติด

นอกจากนี้ ยังอุดมด้วยวิตามินบี วิตามินซี และแคลเซียมที่ดูดซึมง่ายมีแพคตินซึ่งเป็นไฟล์เบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ ช่วยลดโคเลสเตอรอล วิตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่ มีบทบาท สำคัญ ในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค

คุณประโยชน์ของแครอทมีมากมาย
- ใบแครอท เชื่อกันว่า มีสรรพคุณในการเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศ และมีสารต้านมะเร็ง ในอเมริกา จะเป็นยาช่วยขับปัสสาวะ บำรุงเลือดให้ไหลเวียนสะดวก และช่วยขับของเสียออกนอกร่างกาย ถ้านำแครอทมาสับให้ละเอียด ผสมกับแป้ง แล้วเคี่ยวไฟให้เหนียว สามารถทารักษาแผลได้

- ผิวสีส้มของแครอท มีสาร เบต้าแคโรตีน (Beta Carotene) ที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็น วิตามิน A ซึ่งช่วยบำรุงสายตา ทำให้มองเห็นชัดในเวลากลางคืน ซึ่งมีประโยชน์ต่อทหารในยามสงคราม และ Anti-Oxidant ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็ง

เมนูเด็ดจาก "แครอท”
นอกจากแครอทจะเป็นผักสุขภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกายใช้ประกอบอาหาร เช่น สลัด ยำ ซุป หรือ ตกแต่งจานอาหาร แล้ว ยังสามารถคั้นหรือปั่นเป็นน้ำแครอทสดได้ ปัจจุบันยังนำมาทำเป็นเค็กแครอท ได้อีกด้วย

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของการดื่มกาแฟสด

กาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั่วโลกก็ว่าได้ ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า กลิ่นหอม ๆ ของกาแฟนั้นทำให้เรารู้สึกอยากดื่มกาแฟสดขึ้นมาทันที
"การดื่มกาแฟไม่มีผลเสีย ตราบใดที่คุณดื่มในปริมาณพอเหมาะเช่นเดียว กับทุกอย่างที่เรากินและดื่ม" ศาสตราจารย์ซิลวีโอ การัตตีนี หัวหน้าสถาบัน มารีโอ เนกรีแห่งมิลานและบรรณาธิการหนังสือ Caffeine ,Coffee and health ยืนยันการทดสอบในห้องปฏิบัติการแสดงว่าปริมาณกาแฟอีนใน เอสเปรสโซ่หนึ่งถ้วย (20-30มิลลิเมตร)เท่ากับเครื่องดื่มโคลาโคล่าขนาด 330 CC.สองกระป๋อง

ใครที่ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ ต้องฟังทางนี้ คุณรู้หรือไม่ว่า กาแฟสดที่คุณดื่มนั้นมีประโยชน์อย่างไร

ประโยชน์ของการดื่มกาแฟสด
1. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ B ได้

2. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยป้องกันโรคหอบได้

3. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยลดการเกิดโรคตับจากการดื่มสุราได้

4. สารคาเฟอีนในกาแฟมีกรดอะซิติก ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งช่องปากได้

5. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยชะลอความแก่ได้ เพราะกาแฟที่เข้มข้นนั้นจะทำให้ออกไซด์แตกตัว กระตุ้นการเผาผลาญอาหารในร่างกาย

6. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือดแข็งตัวได้

7. การดื่มกาแฟหลังจากรับประทานอาหารแล้วจะช่วยลดความอ้วนได้

8. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัวได้ จากผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีไขมันชนิด (HDL) เพิ่มขึ้น ซึ่งไขมันชนิดนี้จะไล่คอเลสเตอรอลออกไป จึงป้องกันหลอดเลือดแข็งตัวได้

9. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ เพราะกาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีนที่ขยายหลอดเลือด ช่วยระงับอาการปวดได้เช่นเดียวกับยาแก้ปวด และยังช่วยขับปัสสาวะ ละลายไขมันในเส้นเลือด และช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ เนื่องจากเมาสุราได้

10. ดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง และเพิ่มสมรรถภาพทางสมองได้ มีผู้เชี่ยวชาญสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาว่า ความหอมของกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้เร็วขึ้น และมีสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงานก็ดีขึ้น

11. ดื่มกาแฟเล็กน้อยทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งดีขึ้น ไขมันแตกตัว หากได้ดื่มกาแฟเล็กน้อยหลังทานอาหารเสร็จ สารคาเฟอีนในกาแฟจะมีประโยชน์ต่อกระเพาะโดยตรง น้ำย่อยที่กระเพาะและตับอ่อนเพิ่มขึ้น ไขมันถูกเผาผลาญ